วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

เรื่องราวข่าวสารเกี่ยวกับ IT

“แอลจี” ส่งสมาร์ทโฟน “แอลจี จีทู” ลงตลาดไทย


วันนี้(3ก.ย.)ที่โรงแรมดับเบิ้ลยู กรุงเทพฯ นายอนุพันธ์ ภักดีศุภฤทธิ์ หัวหน้ากลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ คือ แอลจี จีทู(LG G2) ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงระดับพรีเมียมของแอลจีในครึ่งปีหลังนี้ โดยมีหน้าจอขนาด 5.2 นิ้ว เทคโนโลยี ฟูล เอชดี ไอพีเอส ที่ให้สีสดสดใสเสมือนจริง มีเทคโนโลยีป้องกันภาพสั่นไหว กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ชิปประมวลผล ควอลคอมม์ สแน็ปดราก้อน 800  2.26 กิกะเฮิร์ซ และแบตเตอรี่ความจุ 3,000 mAh ใช้งานได้นาน พร้อมมีการออกแบบปุ่ม Rear Key อยู่ตรงกลางด้านหลังเครื่อง สามารถใช้นิ้วชี้ปรับเพิ่มลดเสียงการสนทนา เข้าโหมดถ่ายรูป พร้อมมีฟีเจอร์ ช่วยเปิดปิดหน้าจอเพียงแค่เคาะ 2 ครั้งบนหน้าจอเบาๆ รวมถึงมีฟังกชั่นใช้งานแทนรีโมทคอนโทรลกับโทรศัพท์ เซตท๊อป บ๊อกซ์ ฯลฯ


“การเปิดตัวแอลจี จีทูในไทยถือเป็นประเทศแรกในอาเซียน โดยจะเริ่มวางตลาดได้ประมาณปลายเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งของล็อตแรกที่ได้โควตามา 1 หมื่นเครื่องปรากฏว่ามียอดจองหมดแล้ว โดยราคาขายกำลังพิจารณาแต่จะไม่ถึง 2 หมื่นบาทอย่างแน่นอน ซึ่งได้วางงบทำตลาดไว้ที่ 60-70 ล้านบาท โดยบริษัทเตรียมที่จะขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ อาทิ ภาคอีสาน ภาคใต้ ฯลฯ”


นายอนุพันธ์ กล่าวต่อว่า แอลจีจะมีการปรับแผนการทำตลาดโทรศัพท์มือถือใหม่ โดยเริ่มนับจากศูนย์ใหม่ ซึ่งที่ผ่านมามีการทำวิจัยแล้วพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่เห็นว่าแอลจีมีผลิตภัณฑ์ที่ดี ดูแลลูกค้าและบริการหลังการขายดี แต่ลูกค้ายังเข้าถึงสินค้าได้ยาก จึงจะปรับเปลี่ยนมาเน้นการขายปลีกมากกว่าการขายส่งแบบในอดีต ด้วยการเข้าไปจับมือกับคู่ค้า ทั้งโอปอเรเตอร์ และร้านขายอุปกรณ์ไอที รวมถึงพวกร้านตู้โทรศัพท์ ด้วยการเข้าไปให้ความรู้และอบรมพนักงานขายให้สามารถให้ข้อมูลและการใช้งานสินค้ากับลูกค้าได้ ซึ่งในปีนี้แอลจี เตรียมที่จะออกสมาร์ทโฟนในระดับพรีเมียมอีกอย่างน้อย 2 รุ่นด้วย

อ้างอิง : http://www.dailynews.co.th


กสท.แจงผู้ประกอบการก่อนยื่นซื้อซองประมูลทีวีดิจิทัล


วันนี้(3ก.ย.)ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการทัศน์แห่งชาติ(กสทช.)พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกสทช.และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์(กสท.)เปิดเผยว่า ได้จัดชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับการขอรับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล 24 ช่อง โดยมีผู้ประกอบการที่สนใจประมาณ 40 ราย เข้าร่วมรับฟัง ซักถามข้อ โดยเบื้องต้นเป็นการแจ้งรายละเอียดให้ผู้ประกอบการกรอกแบบฟอร์มเอกสารให้ถูกต้องอาทิ   เอกสารการประมูลต้องมีหนังสือรับรองนิติบุคคล   ชื่อผู้ซื้อซองเอกสารประมูลต้องเป็นคนเดียวกับผู้ที่ยื่นขอรับใบอนุญาต  เงินค่าซื้อซองประมูล 1,070,000 บาท  ต่อ ซอง    และการเตรียมหนังสือรับรองจากสถาบันการเงินเพื่อแสดงศักยภาพของบริษัท  ซึ่งการยื่นขอรับใบอนุญาตมีสิทธิ์ยื่นคำขอไม่เกินรายละ 1 ใบของแต่ละหมวดหมู่ และห้ามให้ผู้ยื่นขอช่องคุณภาพสูง(เอสดี)ยื่นขอช่องข่าวสารอีก

หลังจากนั้นในวันที่  10 – 12 ก.ย.56 จะเปิดจำหน่ายซองประมูลที่สำนักงานกสทช. อาคารหอประชุมชั้น 2  ช่วงเวลาระหว่าง 9.30 – 16.00 น.  ซึ่งผู้ประกอบการต้องเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เนื่องจากเอกสารประมูลเมื่อซื้อแล้วจะไม่มีการรับคืนทุกกรณี  และจะมีการชี้แจงอีกครั้งเมื่อซื้อซองแล้วเสร็จในวันที่ 15 ต.ค. 56  และให้ผู้ที่ซื้อซองยื่นเอกสารขอรับการประมูลในวันที่ 28-29 ต.ค.56

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ประกอบการที่เข้ารับฟังการชี้แจง ได้สอบถามเกี่ยวกับ สถานะความเป็นนิติบุคคลของผู้ยื่น หนังสือรับรองทางการเงินจากสถาบันการเงิน หรือแม้กระทั่งความชัดเจนในการกำหนดในการแจ้งรายละเอียด การประมูลของแต่ละลำดับหมวดหมู่

สำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมรับฟังครั้งนี้อาทิ   จีเอ็มเอ็ม  แกรมมี่ , โพสต์ พับบลิชชิ่ง , ทรูวิชั่นส์ , ทรู คอร์ปอเรชั่น , อินทัช , สามารถ คอร์ปอเรชั่น และเครือเนชั่น เป็นต้น

อ้างอิง : http://www.dailynews.co.th


กสท.เพิ่งฟังคำชี้แจงละครฟ้าจรดทราย


วันนี้(3ส.ค.)ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)พล.ท.พีระพงษ์  มานะกิจ กสทช.และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์(กสท.)ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ เปิดเผยว่าหลังหารือร่วมกับผู้บริหารสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 และตัวแทนมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ ว่า ทั้งช่อง 7 และมูลนิธิฯได้เข้ามาชี้แจ้งข้อเท็จจริงกรณีละครฟ้าจรดทราย  ซึ่งยังไม่สามารถสรุปได้ แต่ทางคณะอนุฯก็ได้รับทราบจากต้นทางไปยังปลายทางแล้ว

โดยช่อง 7 ชี้แจงว่าได้ปรับแก้ไขเนื้อหาบางส่วน อาทิ  การเพิ่มฉากแต่งงาน เพื่อให้ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามในขณะที่ผ่านมากระบวนถ่ายทำละครได้ส่งหนังสือไปยังสถานทูตประเทศอียิปต์ พร้อมทั้งแปลบทละครเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นการยอมรับแก้ไขบทถือเป็นการปรับตัวที่ดีของช่อง 7  จึงไม่มีการงดออกอากาศอย่างแน่นอน เนื่องจากไม่มีประโยชน์ ประกอบกับกสทช.ชุดนี้ไม่มีอำนาจในลักษณะดังกล่าว  ในขณะที่มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติซึ่งเป็นผู้ร้องเรียนนั้นมีความกังวล เนื่องจากมีเนื้อหาบิดเบือนหลักการของศาสนาอิสลาม จึงสร้างความเข้าใจตรงกัน

“แม้จะยังไม่สรุปได้ แต่การรับฟังของทั้ง 2 ฝ่ายถือเป็นเรื่องดีที่ช่อง 7 ยอมปรับตัว การงดออกอากาศจึงไม่มีประโยชน์ใดๆ นอกจากนี้จะไม่มีการให้น้ำหนักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน เนื่องจากเรื่องศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และละครคือละคร  ” พล.ท.พีระพงษ์


อย่างไรก็ตามที่ผ่านมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ ได้ส่งหนังสือให้กสทช.เพื่อขอให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ยุติการออกอากาศละครโทรทัศน์เรื่อง "ฟ้าจรดทราย" เนื่องจากเนื้อหามีการบิดเบือนหลักการศาสนาทำให้ผู้ชมมีความเข้าใจในทางที่ผิดไปจากความเป็นจริง ไม่เหมาะสมของเนื้อหาและบทบาทของตัวละคร มีการบิดเบือนหลักการศาสนาและใส่ร้ายชาวมุสลิมในทางที่เสื่อมเสีย

อ้างอิง : http://www.dailynews.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น