
ปัจจุบันการใช้งานโมบายล์อินเทอร์เน็ตสูงขึ้น เพราะความพร้อมในการให้บริการ 3จี ของผู้ให้บริการทุกค่าย บวกกับการเติบโตจากการใช้สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตที่ไม่หยุดนิ่ง
เมื่อการเติบโตมากขึ้น ช่องทางการทำตลาดผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตก็เติบโตและหลากหลายเช่นกัน บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค ถือว่าเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจสู่โมบายคอนเทนต์และแอพพลิเคชั่นและเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการทรานฟอร์มบริษัทสู่ธุรกิจโมบายล์ อินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว
นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทค กล่าวว่า การจะสร้างแอพพลิเคชั่น อีโคซิสเต็ม ที่สมบูรณ์แบบในไทย จะต้องผลักดัน โดยดีแทคได้เปิดโครงการ ดีแทค แอคเซลเลอเรท ( dtac Accelerate) ถือเป็นสะพานส่งเสริมการตลาดกับนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นไทย ที่นอกจากจะนำแอพพลิเคชั่นดี ๆ สู่ผู้ใช้บริการแล้วยังเป็นเวทีให้ก้าวสู่ระดับโลกด้วย
ทั้งนี้ ได้เปิดตัวโครงการเมื่อวันที่ 27 ก.พ.56 ทั้งจัดกิจกรรมเวิร์กช็อปกับผู้บริหารดีแทค นักพัฒนา นักลงทุนและนักธุรกิจชื่อดังที่บินตรงมาจาก ซิลิคอน แวลลีย์
และเมื่อวันที่ 28 ส.ค.56 ได้ทีมผู้ชนะเลิศอันดับ 1 คือ ทีมฟาสอินโฟล (Fastinflow) นำเสนอผลงานผู้ผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้าย ด้วยโมบายแอพพลิเคชั่น ในธีม Wizard of Apps เป็นแอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับการวิจัยการตลาดที่ง่ายต่อการใช้งาน ภายใน 5 นาที กับ 3 ขั้นตอน คือ 1. สร้างแนวคำถามที่ต้องการถามลูกค้า 2. ส่งคำถามไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ และ 3. รับผลสรุปจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
นายเฉลิมยุทธ์ บุญมา ตัวแทนทีมฟาสอินโฟล เล่าว่า จุดเด่นของแพลตฟอร์มฟาสอินโฟลคือใช้งานง่าย ตอบโจทย์การตลาดที่สามารถวิเคราะห์และเข้าถึงความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว และจากการที่ทีมผ่านงานด้านการตลาดถือว่ามีประสบการณ์สูง รู้ว่าการตลาดต้องการอะไรจึงนำแนวคิดมาพัฒนา
ขั้นตอนต่อจากนี้จะพัฒนาแพลตฟอร์มให้ดีขึ้น ปัจจุบันมีลูกค้าสนใจ 150 ราย บริษัทเล็กและใหญ่ คาดว่าภายในปีนี้จะสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้ในแอพสโตร์ สำหรับการเตรียมตัวไปซิลิคอน แวลลีย์ นั้น จะพยายามเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อมาต่อยอดธุรกิจ และให้ต่างชาติเห็นผลงานของทีม
“สิ่งที่ต้องปรับปรุงตอนนี้ จะเป็นในเรื่องของเทคโนโลยี โดยภายในปีนี้จะต้องสมบูรณ์ที่สุด ตอนนี้เน้นในเรื่องของการถามตอบและให้ข้อมูลแม่นยำเป็นหลักก่อน และจะต้องเพิ่มทีมงานด้วย” นายเฉลิมยุทธ์ กล่าว
นายกิรติ อินโอชานนท์ ตัวแทนทีมหาหมอดอทคอม (Haamor.com) รองชนะเลิศอันดับ 1 เล่าว่า นำข้อมูลจากความคิดเห็นของคนไทยที่เข้ามาเป็นสมาชิกในแฟนเพจ ของเว็บไซต์มาต่อยอด ซึ่งพบว่าคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการรู้ว่าโรคเกิดขึ้นอย่างไร แต่ต้องการรู้ว่าจะหายได้อย่างไร จึงนำเสนอผ่านแอพพลิเคชั่นทางนวัตกรรมทางการแพทย์ ที่ช่วยให้ทุกปัญหาสุขภาพมีคำตอบจากแพทย์ชั้นนำ
ขณะที่ น.ส.ปารดา มหาเปารยะ ตัวแทนทีมไดเอทปาร์ตี้ (DietParty) รองชนะเลิศอันดับ 2 เล่าว่า ผู้หญิงมักบ่นว่าอ้วน จึงนำเทคโนโลยีมือถือมาผสมกับคอนเทนต์ที่ทันสมัยมาตอบสนองความต้องการ จึงเกิดแอพพลิเคชั่นที่จะทำให้สนุกกับการลดน้ำหนักไปพร้อมกับเพื่อน ๆ โดยศึกษาข้อมูลจากโซเชียลมีเดียจากแฟนเพจจำนวน 3,700 คน โดยวางเป้าหมายว่าในปีนี้จะให้ดาวน์โหลดฟรีผ่านแอพสโตร์
สำหรับสาเหตุที่คณะกรรมการเลือกทีมฟาสอินโฟลเป็นผู้ชนะเลิศนั้น สามารถตอบโจทย์ธุรกิจปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่าจะมีการเติบโตไปได้ไกลกว่าเดิม ในขณะที่ทีมหาหมอดอทคอม ก็คะแนนสูสีกัน อีกทั้งทีมนี้มีลูกค้ากว่า 4 ล้านรายในแฟนเพจ ดังนั้น จึงมองว่าทีมฟาสอินโฟลมีความต้องการพัฒนาต่อยอดธุรกิจในอนาคต
ทั้งนี้ ทีมฟาสอินโฟล จะได้เข้าคอร์สติวเข้ม 2 สัปดาห์ ในโปรแกรม แบล็คบ๊อกซ์ คอนเทสต์ ที่ซิลิคอน แวลลีย์ สหรัฐอเมริกา ช่วงเดือนธ.ค.56 นี้ จากประสบการณ์จริงของผู้บริหาร นักพัฒนา นักลงทุน และนักธุรกิจชั้นนำของซิลิคอน แวลลีย์ เพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่การเป็นบริษัทระดับโลก และจะได้รับการสนับสนุนการพัฒนาต่อ
ยอดเชิงพาณิชย์จากดีแทคต่อไป
เมื่อเทคโนโลยีก้าวไกล มีองค์กรคอยผลักดัน บวกกับมันสมองที่ไม่หยุดนิ่ง เชื่อว่าแอพพลิเคชั่นฝีมือคนไทยจะต้องโลดแล่นในเวทีระดับโลกได้ไม่ยาก
''วีแชท'' ลุยตลาดไทยพัฒนาสู่ “โมบาย อีโค่ ซิสเต็ม”

นับเป็นโซเชียลแอพพลิเคชั่นที่กำลังมาแรงและมีอัตราเติบโตของผู้ใช้งานทั่วโลกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับแอพพลิเคชั่นวีแชท(WeChat) ที่พัฒนาโดยบริษัท เทนเซ็นส์ ที่ถือเป็นยักษ์ใหญ่ด้านไอทีของจีน
สำหรับในประเทศไทยบริษัท เทนเซ็นส์ ซึ่งถือหุ้นอยู่ใน บริษัท สนุก ออนไลน์ จำกัด ก็ได้ให้ทางสนุกเป็นตัวแทนทำตลาดวีแชทในไทยให้ โดย นายกฤตธี มโนลีหกุล กรรมการผู้จัดการ ด้านธุรกิจเนื้อหาและบริการ บริษัท สนุก ออนไลน์ จำกัด กล่าวว่า ได้เปิดตัวแอพพลิเคชั่นวีแชทในไทยเมื่อเดือน พ.ย. 2555 และได้มีอัตราการเติบโตในยอดจำนวนผู้ใช้บริการสูงถึง 500% ในเวลาเพียง 8 เดือน และจากผลสำรวจของ บริษัท เอซีนีลเส็น จำกัด ก็ระบุว่า คนไทยจำนวน 30% ที่มีสมาร์ทโฟน ได้ใช้แอพพลิเคชั่นวีแชทเป็นประจำทุกวัน จึงถือเป็นความสำเร็จที่น่าพอใจ
“แอพพลิเคชั่นวีแชท ก็ได้ขึ้นอันดับหนึ่งโซเชียลแอพที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดใน 14 ประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย และตอนนี้จำนวนผู้ใช้บริการวีแชทในไทยก็อยู่ในอันดับท็อปเทน เมื่อเทียบกับประเทศต่าง ๆ โดยตอนนี้มีคนใช้วีแชททั่วโลกมากกว่า 100 ประเทศ และมีการใช้อย่างจริงจังมากกว่า 30 ประเทศ โดยตัวเลขผู้ใช้งานอย่างเป็นทางการทั่วโลกมีจำนวน 300 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ใช้งานนอกประเทศจีน 100 ล้านคน และวีแชทก็ติดทอป 5 ที่เป็นแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนที่มียอดจำนวนดาวน์โหลดมากที่สุด”
ปัจจุบันวีแชทได้เปิดตัวเวอร์ชั่น 5.0 ใหม่ล่าสุด ที่ถูกพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ และรองรับ 19 ภาษา และใช้งานได้ในทุกระบบปฏิบัติการ ทั้งแอนดรอยด์ ไอโอเอส แบล็คเบอร์รี่ ซิมเบียน วินโดวส์โฟน รวมถึงการใช้งานผ่านเว็บไซต์ในคอมพิวเตอร์ด้วยการลิงค์ข้อมูลบัญชีด้วยคิวอาร์ โค้ด
นายกฤตธี กล่าวต่อว่า วีแชทเวอร์ชั่น 5.0 ใหม่ ได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการค้นหาหรือเพิ่มเพื่อน ด้วยปุ่ม Hold Together ที่ให้เพิ่มเพื่อน ๆ ได้ง่ายแค่กดปุ่มก็จะขึ้นรายชื่อเพื่อน ๆ โดยไม่ต้องใช้บัญชีชื่อ นอกจากนี้ยังสามารถเก็บข้อมูลสนทนาระหว่างกันได้ และยังมีฟีเจอร์เด่น ๆ ก็คือ วิดีโอคอล พูดคุยแบบเห็นหน้า วอยซ์แชท การส่งข้อความเสียง การใช้งานแบบวอล์กกี้ ทอล์กกี้ ฯลฯ รวมถึงมีการเปิดอีโมติคอน ช็อป เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดสติกเกอร์และอีโมติคอนต่าง ๆ ในราคาประมาณ 31 บาทต่อชุด ซึ่งในอนาคตก็จะมีการเพิ่มบริการใหม่ ๆ อาทิ เกม ฯลฯ
สำหรับการทำตลาดในไทยนอกจากการมีโฆษณาแล้วจะเน้นการจับมือกับพาร์ทเนอร์ในการเปิดออฟฟิเชียล แอคเคานท์ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้ทำการติดตามข้อมูลข่าวสารกิจกรรมโปรโมชั่นองค์กรนั้น ๆ หรือสั่งซื้อสินค้าจากแอพพลิเคชั่นได้ทันที เพื่อให้เกิดการใช้งานต่อเนื่องและผู้ใช้บริการได้ประโยชน์อย่างจริงจัง โดยผู้ที่มาเปิดออฟฟิเชียล แอคเคานท์จะยังไม่มีค่าใช้จ่าย แต่จะมีข้อตกลงในการช่วยโปรโมตวีแชทในพื้นที่โฆษณาขององค์กรหรือสินค้านั้น ๆ เพื่อให้วีแชทเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยปัจจุบันมีองค์กรและสินค้าบริการเปิดออฟฟิเชียล แอคเคานท์แล้ว 38 รายและในอนาคตจะมีเพิ่มขึ้นอีก
ส่วนช่องทางหารายได้นั้น นายกฤตธี บอกว่า วีแชทยังไม่มีช่องทางการหารายได้ทั้งในจีน และในไทย เป็นแอพพลิเคชั่นที่ให้บริการฟรี ส่วนอีโมติคอน ช็อป ที่เปิดขึ้นก็ไม่ได้เน้นการหารายได้ แต่ก็มีนักวิเคราะห์ในต่างประเทศระบุว่าจากจำนวนฐานผู้ใช้บริการที่มีมากถึง 300 ล้านคน วีแชทควรที่จะสามารถหารายได้จากช่องทางต่าง ๆ ได้แล้ว แต่ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทแม่ คือ เทนเซ็นส์
อย่างไรก็ตามมีแผนจะผลักดันให้ วีแชท เป็น “โมบาย อีโค่ ซิสเต็ม” ที่ให้ผู้ใช้สามารถเข้าหาข้อมูลสินค้าและบริการ หรือสั่งซื้อได้จากออฟฟิเชียล แอคเคานท์ต่าง ๆ เช่น เทสโก้โลตัส ลูกค้าสามารถเข้ามาเอาคูปองส่วนลดซื้อสินค้าได้ในวีแชท ฯลฯ รวมถึงการใช้ประโยชน์จัดกิจกรรมต่าง ๆ จากโกบอล แคมเปญ ที่ได้ทำแคมเปญในทั่วโลก เช่น การดึงลิโอเนล เมสซี นักเตะระดับโลกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งช่วยให้มียอดจำนวนดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นถึง 60%
นอกจากนี้ในอนาคตก็กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการนำบริการใหม่ ๆ ที่เปิดในจีนแล้วมาให้บริการกับผู้ใช้ในไทย เช่น การร่วมมือกับธนาคารในการเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมเช็กยอด โอนเงิน ชำระค่าบริการต่าง ๆ ผ่านวีแชท ซึ่งขณะนี้กำลังคุยรายละเอียดกับธนาคารของไทยอยู่ รวมถึงการจับมือกับโรงแรมต่าง ๆ ให้สามารถจองโรงแรมผ่านวีแชทได้เช่นกัน โดยมีเป้าหมายให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อสื่อสารกันได้ทุกที่ทุกเวลา
สำหรับในเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ยืนยันว่าวีแชทมีความปลอดภัย โดยได้เพิ่มกลไกการใช้งานที่ต้องยืนยันการใช้งานจากทั้งสองทาง การซ่อนรายชื่อบุคคล การปิดกั้นผู้ใช้งาน เพื่อให้ใช้งานได้กับคนที่เราไว้ใจและอนุญาตเท่านั้น และในส่วนของเซิร์ฟเวอร์ข้อมูลก็ได้มีการตั้งอยู่ภายนอกประเทศจีนและไทย การรักษาความปลอดภัยจึงได้มาตรฐานสากลแน่นอน
โอซีเอแนะสถาบันการเงินใช้คลาวด์ข้อมูลต้องปลอดภัย

“โอซีเอ”ชี้สถาบันการเงินปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบคลาวด์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า สามารถเข้าตรวจสอบระบบจากผู้ให้บริการได้
นายไมเคิล มัดด์ เลขาธิการสมาพันธ์ โอเพ่น คอมพิวติ้ง อัลไลแอนซ์ (Open Computing Alliance) เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง กำลังได้รับความนิยมจากธนาคารและสถาบันการเงิน เนื่องจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและช่วยลดต้นทุนได้อย่างมากในเรื่องการซื้อลิขสิทธิ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ออกข้อกำหนดเรื่องการใช้บริการด้านงานเทคโนโลยีสารสนเทศจากผู้ให้บริการายอื่น และปัจจุบันกำลังพิจารณาออกข้อกำหนดในเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะทำให้มาตรการด้านรักษาความปลอดภัยของข้อมูลบนระบบคลาวด์ของไทยจะรัดกุมยิ่งขึ้นในอนาคต
“เมื่อธนาคารและสถาบันการเงินมีการย้ายข้อมูลจากระบบคอมพิวเตอร์เมนเฟรมไปสู่ระบบคลาวด์ ควรต้องตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงของผู้ให้บริการในตลาดทั้งในเรื่องชื่อเสียงและผลงานที่ผ่านมา และจะต้องแน่ใจว่าผู้ให้บริการยินยอมให้ตรวจสอบการทำงานของระบบเพื่อมั่นใจได้ว่าข้อมูลของลูกค้าจะปลอดภัย และต้องรู้ว่าข้อมูลถูกเก็บไว้ที่ใดและต้องเดินทางผ่านประเทศใดบ้าง และข้อมูลจะต้องได้รับการปกป้องโดยกฎหมายของประเทศที่ถูกเก็บข้อมูลไว้”
ด้าน ดร.นคร เสรีรักษ์ ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านความปลอดภัยของข้อมูล กล่าวว่า ปัจจุบันไทยยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยตรง มีแต่เพียงบางส่วนในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร พ.ศ.2540 ขณะที่นานาประเทศมีกฎหมายคุ้มครองในส่วนนี้แล้ว ซึ่งที่ผ่านมายังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ โดยเฉพาะในภาคเอกชนที่กลัวว่าจะเกิดความไม่คล่องตัวในการทำธุรกิจและทำให้มีต้นทุนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมการเงินได้รับประโยชน์จากการใช้ระบบคลาวด์ แต่ไม่ควรนำประโยชน์เรื่องต้นทุนมาเสี่ยงกับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งมีความสำคัญมาก การเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีคลาวด์จึงต้องทำด้วยความระมัดระวัง
อ้างอิง : http://www.dailynews.co.th/technology
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น