วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

เรื่องราวข่าวสารเกี่ยวกับ IT

สหรัฐฯงัดกม.เชือดผู้ส่งออกไทย ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนผลิตสินค้าขาย


สหรัฐฯเอาจริง เชือดผู้ส่งออกไทย ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนในการผลิตยางรถยนต์ส่งขายที่สหรัฐอเมริกา ภาครัฐเตือนผู้ประกอบการไทยต้องปฏิบัติตามกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา

พ.ต.อ.ชัยณรงค์ เจริญไชยเนาว์ รองผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ทาง สำนักงานอัยการสูงสุดของรัฐเทนเนสซีประกาศดำเนินคดีและเรียกร้องค่าเสียหายกับผู้ส่งออกไทยรายหนึ่งในฐานที่ใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ที่ส่งออกไปจำหน่ายยังรัฐเทนเนสซี  ซึ่งถือเป็นรัฐที่สี่ของสหรัฐอเมริกาที่บังคับใช้กฎหมายกับบริษัทต่างชาติที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ  โดยบริษัทผู้ส่งออกยางรถยนต์ไทยรายดังกล่าว ใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ของไมโครซอฟท์ ออโต้เดสก์ และไทยซอฟต์แวร์เอ็นเตอร์ไพรส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์พจนานุกรม  กรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างล่าสุดที่สำนักงานอัยการสูงสุดของสหรัฐฯ บังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางธุรกิจที่ไม่เป็นธรรมต่อบริษัทต่างชาติที่ใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์

“คดีนี้ถือเป็นครั้งที่สองที่ประเทศไทยตกเป็นเป้าหมายของกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม  และยังเป็นการเตือนภาคธุรกิจว่าจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ผู้บริหารองค์กรธุรกิจควรใช้ซอฟต์แวร์ที่ถูกกฎหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะไม่ถูกตรวจสอบในอนาคต ทั้งนี้อัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่สูงถึง 72 เปอร์เซ็นต์ในประเทศไทยนับเป็นปัญหาที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง”

อย่างไรก็ตาม มร. วิคเตอร์ โดเมน แห่งสำนักงานอัยการสูงสุดของรัฐเทนเนสซี ได้ออกประกาศว่าได้มีการตกลงไกล่เกลี่ยคดีกับบริษัทยางรถยนต์จากประเทศไทยที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและสร้างความได้เปรียบทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรมกับบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ในรัฐเทนเนสซี  โดย ทางการรัฐเทนเนสซีได้ประสานงานกับหน่วยงานราชการของไทยและสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเพื่อขอสนับสนุนด้านหลักฐานทางกฎหมาย

ด้านนางปัจฉิมา ธนสันติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า ในช่วงสองปีที่ผ่านมา กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกของไทยให้ตระหนักถึงความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมในสหรัฐอเมริกา และได้เตือนหลายบริษัทถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของไทย โดยกรณีล่าสุดนี้ ทางกรมฯได้เน้นย้ำให้เห็นว่าธุรกิจทุกประเภทจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจไม่ว่าในประเทศไทยหรือต่างประเทศ.

อ้างอิง : http://www.dailynews.co.th

“ทรู อินคิวบ์” ปั้นนักพัฒนาแอพไทย สู่เวทีโลก - ฉลาดสุดๆ


แอพพลิเคชั่นใหม่ๆ มักเกิดขึ้นมากับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ และช่วยให้ชีวิตประจำวันมีความสะดวกสบายมากขึ้น

ดังนั้น นักพัฒนาจึงต้องคิดค้นแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง ซึ่งคนบางกลุ่มมีเพียงมันสมองอย่างเดียวก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ หากไม่มีหน่วยงาน องค์กร หรือผู้สนับสนุน

“ทรู อินคิวบ์” เป็นโครงการที่สนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่มีความสามารถได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ในระดับโลก โดยเปิดตัวไปเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา มีผู้สมัครเข้าร่วมโปรแกรม 150 ทีม ปัจจุบันคัดเลือกเหลือ 6 ทีมสุดท้าย

โดยทั้ง 6 ทีมจะได้เข้าร่วมบูท แคมป์ กลางเดือนนี้ จากผู้เชี่ยวชาญและทีมที่ปรึกษา (Mentors) ทีมงานทรู อินคิวบ์ และ 500 สตาร์ทอัพ (500 Startups) และทีมที่พร้อมที่สุดจะได้เข้าเรียนรู้การทำงานโดยตรงกับ 500 สตาร์ทอัพ ที่ซิลิคอน วัลเล่ย์ สหรัฐอเมริกาด้วย

นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้อำนวยการบริหาร ทรู อินคิวบ์ ในเครือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เล่าว่า ทรู อินคิวบ์ ได้ลงทุนในกองทุนของ 500 สตาร์ทอัพ เพื่อส่งเสริมให้สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการชาวไทยประสบความสำเร็จในระดับสากล ให้ได้เปรียบในการแข่งขัน สร้างธุรกิจให้เป็นจริง

นายนที จารยะพันธุ์ ตัวแทนทีม Fit Me เล่าว่า Fit Me ถือเป็นโซลูชั่นสำหรับนักช้อปออนไลน์ ที่ช่วยให้สั่งซื้อเสื้อผ้าได้ตรงตามไซส์ ในการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ โดยเฉพาะเสื้อผ้านั้น จะหาขนาดได้ตรงตามรูปร่างแต่ละคนยาก ไม่เหมือนกับไปเลือกซื้อตามห้างสรรพสินค้าที่สามารถทดลองสวมใส่ได้

ดังนั้น โซลูชั่นนี้จะเป็นทางเลือกให้ลูกค้ากรอกขนาดไซส์ และสามารถปรับเปลี่ยนอัพเดทได้ตามความต้องการของลูกค้าด้วย ขณะนี้มีแบรนด์ดังๆ หลายแบรนด์ให้ความสนใจร่วมกับ Fit Me จำนวนมาก โดย Fit Me จะมีดีไซเนอร์ที่มีความสามารถให้คำแนะนำ มองว่าในอนาคตลูกค้าสามารถนำข้อมูลไซส์ มาใช้ประโยชน์ทางธุรกิจได้อีก

นายเลอทัด ศุภดิลก ตัวแทนทีม SellSuki เล่าว่า SellSuki แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ช่วยให้ร้านค้าขายสินค้าสะดวกมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำระบบแชทไว้ตรงกลางเสมือนหน้าเฟสบุ๊ค และจัดระบบลูกค้าให้เป็นหมวดหมู่ว่า ลูกค้าอยู่ระหว่างแชท สั่งสินค้าหรือจัดส่งสินค้าเรียบร้อยแล้ว โดยสรุปหน้าที่ของ SellSuki มี 3 หน้าที่หลักคือ ช่วยคุย ช่วยขาย และช่วยส่ง

นายพิริยะ ตันตราธิวุฒิ ตัวแทน Sticgo เล่าวว่า Sticgo เป็นแอพพลิเคชั่นสติ๊กเกอร์บนมือถือ สำหรับเช็คอินตามสถานที่โปรดที่ไม่ซ้ำแบบกัน โดยศึกษาจากพฤติกรรมของคนในสมัยนี้ ที่เข้าไปทานอาหารในร้านที่มีความสวยงามและอัพรูปภาพลงโซเชียลมีเดีย ดังนั้น จึงมีแนวคิดออกแบบสติ๊กเกอร์ให้กับร้านอาหารหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ

“ร้านค้าอาจจะมีโปรโมชั่น อาทิ เมื่อลูกค้ามาทานอาหารแล้วถ่ายภาพแปะสติ๊กเกอร์ร้านอัพลงโซเชียลมีเดีย จะได้รับส่วนลดหรือข้อเสนออื่นๆ ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ประกอบการโดยเฉพาะร้านอาหาร ปัจจุบันเรามีสติ๊กเกอร์กว่า 200 สถานที่แล้ว มียอดที่ดาวน์โหลดมากกว่า 6 หมื่นคน” นายพิริยะ กล่าว

ด้านนายวิชานน์ มานะวณิชเจริญ ตัวแทนทีม Taamkru เล่าว่า Taamkru เป็นการศึกษาออนไลน์สำหรับเด็กอนุบาล เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แนวคิดมาจากเด็กอนุบาลที่มีอายุไม่ถึง 6 ขวบ ต้องทำแบบฝึกหัดวันละหลายแผ่น เด็กๆ ต้องทนทำ บางข้อที่ทำผิดก็ไม่ได้อยากทำซ้ำ ผู้ปกครองวัดผลการเรียนของลูกไม่ได้
ดังนั้น แอพพลิเคชั่น Taamkru จะเป็นแบบฝึกหัดที่กระตุ้นการเรียนรู้ สร้างทักษะกระบวนการคิดให้เด็ก และ ผู้ปกครอง สามารถดูคะแนนย้อนหลัง ทราบว่าลูกเก่งอะไร สามารถเทียบคะแนนเฉลี่ยได้ทั่วประเทศ เริ่มจากเทียบในห้องเรียน ซึ่งจะทำให้รู้ว่าเด็กอยู่ในระดับไหนและแข่งขันกับโรงเรียนใกล้เคียงได้หรือไม่

ส่วนนายธนา จันทรรพงษ์ ตัวแทนทีม Todok เล่าว่า Todok เป็นแอพพลิเคชั่นแคชเชียร์บนไอแพดช่วยให้ร้านค้าขายปลีกสามารถบริหารระบบการจ่ายเงิน และรายการสินค้าได้อย่างครบวงจร ถือเป็นการเชื่อมโยงอุปกรณ์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ซีพี (ตั้งโต๊ะ) มาลงบนไอแพด เจ้าของร้านสามารถบริหารจัดการได้ ข้อมูลไม่หายเพราะอยู่บนอินเทอร์เน็ต ซื้อขายสินค้าได้ทุกพื้นที่ ปัจจุบันมีร้านหนังสือเล็ก ๆ ใช้อยู่ประมาณ 500 กว่าร้าน

นายพงศธร พิพัฒน์ธรรม ตัวแทนทีม Zeekamore เล่าว่า เป็นแหล่งรวมอี-แคตตาล็อก ของหลากหลายร้านดัง แตกต่างจากแคตตาล็อกธรรมดาที่เป็นกระดาษค้นหาไม่ได้ พกพายาก มีต้นทุนในการจัดพิมพ์สูง ดังนั้น Zeekamore จะเป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นดิจิทัล ช่วยให้การช้อปปิ้งง่ายขึ้น รายละเอียดสินค้าของแต่ละแบรนด์จะมีครบ ลูกค้าสามารถค้นหาข้อมูลได้ทุกกที่ ทุกเวลาตามความต้องการ


เมื่อเทคโนโลยีก้าวไกล คนก็ต้องก้าวทันเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าจะให้เสพติดเทคโนโลยีจนเกินไป เพราะสิ่งสำคัญคือ ความรู้ทันเทคโนโลยีและใช้ปรับเพื่อการดำรงชีวิตประจำวัน.

อ้างอิง : http://www.dailynews.co.th


กสท.นำเงินรายได้ขายซอง 49 ลบ.จัดประมูลทีวีดิจิทัล


วันนี้(16ก.ย.)ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกสทช.และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง(กสท.)เปิดเผยว่า ที่ประชุมกสท.ขออนุมัติใช้เงินรายได้จากการจำหน่ายซองเอกสารการประมูลทีวีดิจิทัล บริการธุรกิจ 24 ช่องเมื่อช่วงวันที่ 10 – 12 ก.ย. 56 จำหน่ายราคาซองละ 1 ล้านบาท  โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมซื้อซองเอกสารจำนวน 49 ซอง รวมเป็นเงิน 49 ล้านบาท  เพื่อนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายจัดประมูลทีวีดิจิทัลช่วงประมาณกลางเดือนธ.ค.56  เบื้องต้นงบประมาณค่าใช้จ่ายประมูล 5 ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานกสทช.  ส่วนค่าโปรแกรมซอฟต์แวร์การประมูลประมาณ 12 ล้านบาท โดยจะเสนอที่ประชุมกสทช.ในวันที่ 18 ก.ย. 56 นี้


สำหรับกระบวนการจากนี้เป็นการพิจาณาเอกสารของผู้ประกอบการที่ได้ยื่นซื้อซอง  หลังจากนั้นในวันที่ 15 ต.ค. 56 ได้เปิดชี้แจ้งข้อมูลการกรอกเอกสาร แบบฟอร์ม เพื่อให้ยื่นขอรับใบอนุญาตวันที่ 28-29 ต.ค.56  ซึ่งกสท.คาดว่าจะมีผู้มายื่น 70 % ของผู้ที่ซื้อซองทั้งหมด ถือเป็นการแข่งขันแล้ว ส่วนกรณีการตรวจสอบคุณสมบัติเรื่องผลประโยชน์ร่วมกันของผู้บริการ ผู้ที่เกี่ยวโยงกัน ผู้มีอำนาจควบคุม รวมถึงการถือหุ้นไขว่กันระหว่างผู้เข้าร่วมประมูล เป็นกระบวนการตรวจสอบลำดับต่อไป


พ.อ.ดร.นที กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ นำ(ร่าง)ประกาศกสทช.เรื่อง มาตรฐานสัญญาการให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกพ.ศ...  นำไปเสนอที่ประชุมกสทช. เพื่อขอความเห็นชอบนำไปเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ(ประชาพิจารณ์) เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคที่ใช้บริการ  รวมทั้งอนุมัติทดลองวิทยุเพิ่มเติม 50 ใบ แบ่งเป็นบริการธุรกิจ 42 ใบ บริการสาธารณะ 1 ใบ และบริการชุมชน 7 ใบ รวมออกใบอนุญาตทดลองไปแล้วจำนวน 2,734 ใบ

อ้างอิง : http://www.dailynews.co.th

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

เรื่องราวข่าวสารเกี่ยวกับ IT

'ฟาสอินโฟล' ตอบโจทย์นักการตลาด - ฉลาดสุดๆ


ปัจจุบันการใช้งานโมบายล์อินเทอร์เน็ตสูงขึ้น เพราะความพร้อมในการให้บริการ 3จี ของผู้ให้บริการทุกค่าย บวกกับการเติบโตจากการใช้สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตที่ไม่หยุดนิ่ง

เมื่อการเติบโตมากขึ้น ช่องทางการทำตลาดผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตก็เติบโตและหลากหลายเช่นกัน บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค ถือว่าเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจสู่โมบายคอนเทนต์และแอพพลิเคชั่นและเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการทรานฟอร์มบริษัทสู่ธุรกิจโมบายล์ อินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว

นายจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทค กล่าวว่า การจะสร้างแอพพลิเคชั่น อีโคซิสเต็ม ที่สมบูรณ์แบบในไทย จะต้องผลักดัน โดยดีแทคได้เปิดโครงการ ดีแทค แอคเซลเลอเรท ( dtac Accelerate) ถือเป็นสะพานส่งเสริมการตลาดกับนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นไทย ที่นอกจากจะนำแอพพลิเคชั่นดี ๆ สู่ผู้ใช้บริการแล้วยังเป็นเวทีให้ก้าวสู่ระดับโลกด้วย

ทั้งนี้ ได้เปิดตัวโครงการเมื่อวันที่ 27 ก.พ.56 ทั้งจัดกิจกรรมเวิร์กช็อปกับผู้บริหารดีแทค นักพัฒนา นักลงทุนและนักธุรกิจชื่อดังที่บินตรงมาจาก ซิลิคอน แวลลีย์

และเมื่อวันที่ 28 ส.ค.56 ได้ทีมผู้ชนะเลิศอันดับ 1 คือ ทีมฟาสอินโฟล (Fastinflow) นำเสนอผลงานผู้ผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้าย ด้วยโมบายแอพพลิเคชั่น ในธีม Wizard of Apps เป็นแอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับการวิจัยการตลาดที่ง่ายต่อการใช้งาน ภายใน 5 นาที กับ 3 ขั้นตอน คือ 1. สร้างแนวคำถามที่ต้องการถามลูกค้า 2. ส่งคำถามไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ และ 3. รับผลสรุปจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

นายเฉลิมยุทธ์ บุญมา ตัวแทนทีมฟาสอินโฟล เล่าว่า จุดเด่นของแพลตฟอร์มฟาสอินโฟลคือใช้งานง่าย ตอบโจทย์การตลาดที่สามารถวิเคราะห์และเข้าถึงความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว และจากการที่ทีมผ่านงานด้านการตลาดถือว่ามีประสบการณ์สูง รู้ว่าการตลาดต้องการอะไรจึงนำแนวคิดมาพัฒนา

ขั้นตอนต่อจากนี้จะพัฒนาแพลตฟอร์มให้ดีขึ้น ปัจจุบันมีลูกค้าสนใจ 150 ราย บริษัทเล็กและใหญ่ คาดว่าภายในปีนี้จะสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้ในแอพสโตร์ สำหรับการเตรียมตัวไปซิลิคอน แวลลีย์ นั้น จะพยายามเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อมาต่อยอดธุรกิจ และให้ต่างชาติเห็นผลงานของทีม

“สิ่งที่ต้องปรับปรุงตอนนี้ จะเป็นในเรื่องของเทคโนโลยี โดยภายในปีนี้จะต้องสมบูรณ์ที่สุด ตอนนี้เน้นในเรื่องของการถามตอบและให้ข้อมูลแม่นยำเป็นหลักก่อน และจะต้องเพิ่มทีมงานด้วย” นายเฉลิมยุทธ์ กล่าว

นายกิรติ อินโอชานนท์ ตัวแทนทีมหาหมอดอทคอม (Haamor.com) รองชนะเลิศอันดับ 1 เล่าว่า นำข้อมูลจากความคิดเห็นของคนไทยที่เข้ามาเป็นสมาชิกในแฟนเพจ ของเว็บไซต์มาต่อยอด ซึ่งพบว่าคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการรู้ว่าโรคเกิดขึ้นอย่างไร แต่ต้องการรู้ว่าจะหายได้อย่างไร จึงนำเสนอผ่านแอพพลิเคชั่นทางนวัตกรรมทางการแพทย์ ที่ช่วยให้ทุกปัญหาสุขภาพมีคำตอบจากแพทย์ชั้นนำ

ขณะที่ น.ส.ปารดา มหาเปารยะ ตัวแทนทีมไดเอทปาร์ตี้ (DietParty) รองชนะเลิศอันดับ 2 เล่าว่า ผู้หญิงมักบ่นว่าอ้วน จึงนำเทคโนโลยีมือถือมาผสมกับคอนเทนต์ที่ทันสมัยมาตอบสนองความต้องการ จึงเกิดแอพพลิเคชั่นที่จะทำให้สนุกกับการลดน้ำหนักไปพร้อมกับเพื่อน ๆ โดยศึกษาข้อมูลจากโซเชียลมีเดียจากแฟนเพจจำนวน 3,700 คน โดยวางเป้าหมายว่าในปีนี้จะให้ดาวน์โหลดฟรีผ่านแอพสโตร์

สำหรับสาเหตุที่คณะกรรมการเลือกทีมฟาสอินโฟลเป็นผู้ชนะเลิศนั้น สามารถตอบโจทย์ธุรกิจปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่าจะมีการเติบโตไปได้ไกลกว่าเดิม ในขณะที่ทีมหาหมอดอทคอม ก็คะแนนสูสีกัน อีกทั้งทีมนี้มีลูกค้ากว่า 4 ล้านรายในแฟนเพจ ดังนั้น จึงมองว่าทีมฟาสอินโฟลมีความต้องการพัฒนาต่อยอดธุรกิจในอนาคต

ทั้งนี้ ทีมฟาสอินโฟล จะได้เข้าคอร์สติวเข้ม 2 สัปดาห์ ในโปรแกรม แบล็คบ๊อกซ์ คอนเทสต์ ที่ซิลิคอน แวลลีย์ สหรัฐอเมริกา ช่วงเดือนธ.ค.56 นี้ จากประสบการณ์จริงของผู้บริหาร นักพัฒนา นักลงทุน และนักธุรกิจชั้นนำของซิลิคอน แวลลีย์ เพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่การเป็นบริษัทระดับโลก และจะได้รับการสนับสนุนการพัฒนาต่อ
ยอดเชิงพาณิชย์จากดีแทคต่อไป

เมื่อเทคโนโลยีก้าวไกล มีองค์กรคอยผลักดัน บวกกับมันสมองที่ไม่หยุดนิ่ง เชื่อว่าแอพพลิเคชั่นฝีมือคนไทยจะต้องโลดแล่นในเวทีระดับโลกได้ไม่ยาก


''วีแชท'' ลุยตลาดไทยพัฒนาสู่ “โมบาย อีโค่ ซิสเต็ม”


นับเป็นโซเชียลแอพพลิเคชั่นที่กำลังมาแรงและมีอัตราเติบโตของผู้ใช้งานทั่วโลกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับแอพพลิเคชั่นวีแชท(WeChat) ที่พัฒนาโดยบริษัท เทนเซ็นส์ ที่ถือเป็นยักษ์ใหญ่ด้านไอทีของจีน

สำหรับในประเทศไทยบริษัท เทนเซ็นส์ ซึ่งถือหุ้นอยู่ใน บริษัท สนุก ออนไลน์ จำกัด ก็ได้ให้ทางสนุกเป็นตัวแทนทำตลาดวีแชทในไทยให้ โดย นายกฤตธี มโนลีหกุล กรรมการผู้จัดการ ด้านธุรกิจเนื้อหาและบริการ บริษัท สนุก ออนไลน์ จำกัด กล่าวว่า ได้เปิดตัวแอพพลิเคชั่นวีแชทในไทยเมื่อเดือน พ.ย. 2555 และได้มีอัตราการเติบโตในยอดจำนวนผู้ใช้บริการสูงถึง 500% ในเวลาเพียง 8 เดือน และจากผลสำรวจของ บริษัท เอซีนีลเส็น จำกัด ก็ระบุว่า คนไทยจำนวน 30% ที่มีสมาร์ทโฟน ได้ใช้แอพพลิเคชั่นวีแชทเป็นประจำทุกวัน จึงถือเป็นความสำเร็จที่น่าพอใจ

“แอพพลิเคชั่นวีแชท ก็ได้ขึ้นอันดับหนึ่งโซเชียลแอพที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดใน 14 ประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย และตอนนี้จำนวนผู้ใช้บริการวีแชทในไทยก็อยู่ในอันดับท็อปเทน เมื่อเทียบกับประเทศต่าง ๆ โดยตอนนี้มีคนใช้วีแชททั่วโลกมากกว่า 100 ประเทศ และมีการใช้อย่างจริงจังมากกว่า 30 ประเทศ โดยตัวเลขผู้ใช้งานอย่างเป็นทางการทั่วโลกมีจำนวน 300 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ใช้งานนอกประเทศจีน 100 ล้านคน และวีแชทก็ติดทอป 5 ที่เป็นแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนที่มียอดจำนวนดาวน์โหลดมากที่สุด”

ปัจจุบันวีแชทได้เปิดตัวเวอร์ชั่น 5.0 ใหม่ล่าสุด ที่ถูกพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ และรองรับ 19 ภาษา และใช้งานได้ในทุกระบบปฏิบัติการ ทั้งแอนดรอยด์ ไอโอเอส แบล็คเบอร์รี่ ซิมเบียน วินโดวส์โฟน รวมถึงการใช้งานผ่านเว็บไซต์ในคอมพิวเตอร์ด้วยการลิงค์ข้อมูลบัญชีด้วยคิวอาร์ โค้ด

นายกฤตธี กล่าวต่อว่า วีแชทเวอร์ชั่น 5.0 ใหม่ ได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการค้นหาหรือเพิ่มเพื่อน ด้วยปุ่ม Hold Together ที่ให้เพิ่มเพื่อน ๆ ได้ง่ายแค่กดปุ่มก็จะขึ้นรายชื่อเพื่อน ๆ โดยไม่ต้องใช้บัญชีชื่อ นอกจากนี้ยังสามารถเก็บข้อมูลสนทนาระหว่างกันได้ และยังมีฟีเจอร์เด่น ๆ ก็คือ วิดีโอคอล พูดคุยแบบเห็นหน้า วอยซ์แชท การส่งข้อความเสียง การใช้งานแบบวอล์กกี้ ทอล์กกี้ ฯลฯ รวมถึงมีการเปิดอีโมติคอน ช็อป เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดสติกเกอร์และอีโมติคอนต่าง ๆ ในราคาประมาณ 31 บาทต่อชุด ซึ่งในอนาคตก็จะมีการเพิ่มบริการใหม่ ๆ อาทิ เกม ฯลฯ

สำหรับการทำตลาดในไทยนอกจากการมีโฆษณาแล้วจะเน้นการจับมือกับพาร์ทเนอร์ในการเปิดออฟฟิเชียล แอคเคานท์ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้ทำการติดตามข้อมูลข่าวสารกิจกรรมโปรโมชั่นองค์กรนั้น ๆ หรือสั่งซื้อสินค้าจากแอพพลิเคชั่นได้ทันที เพื่อให้เกิดการใช้งานต่อเนื่องและผู้ใช้บริการได้ประโยชน์อย่างจริงจัง โดยผู้ที่มาเปิดออฟฟิเชียล แอคเคานท์จะยังไม่มีค่าใช้จ่าย แต่จะมีข้อตกลงในการช่วยโปรโมตวีแชทในพื้นที่โฆษณาขององค์กรหรือสินค้านั้น ๆ เพื่อให้วีแชทเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยปัจจุบันมีองค์กรและสินค้าบริการเปิดออฟฟิเชียล แอคเคานท์แล้ว 38 รายและในอนาคตจะมีเพิ่มขึ้นอีก

ส่วนช่องทางหารายได้นั้น นายกฤตธี บอกว่า วีแชทยังไม่มีช่องทางการหารายได้ทั้งในจีน และในไทย เป็นแอพพลิเคชั่นที่ให้บริการฟรี ส่วนอีโมติคอน ช็อป ที่เปิดขึ้นก็ไม่ได้เน้นการหารายได้ แต่ก็มีนักวิเคราะห์ในต่างประเทศระบุว่าจากจำนวนฐานผู้ใช้บริการที่มีมากถึง 300 ล้านคน วีแชทควรที่จะสามารถหารายได้จากช่องทางต่าง ๆ ได้แล้ว แต่ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทแม่ คือ เทนเซ็นส์

อย่างไรก็ตามมีแผนจะผลักดันให้ วีแชท เป็น “โมบาย อีโค่ ซิสเต็ม” ที่ให้ผู้ใช้สามารถเข้าหาข้อมูลสินค้าและบริการ หรือสั่งซื้อได้จากออฟฟิเชียล แอคเคานท์ต่าง ๆ เช่น เทสโก้โลตัส ลูกค้าสามารถเข้ามาเอาคูปองส่วนลดซื้อสินค้าได้ในวีแชท ฯลฯ รวมถึงการใช้ประโยชน์จัดกิจกรรมต่าง ๆ จากโกบอล แคมเปญ ที่ได้ทำแคมเปญในทั่วโลก เช่น การดึงลิโอเนล เมสซี นักเตะระดับโลกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งช่วยให้มียอดจำนวนดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นถึง 60%

นอกจากนี้ในอนาคตก็กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการนำบริการใหม่ ๆ ที่เปิดในจีนแล้วมาให้บริการกับผู้ใช้ในไทย เช่น การร่วมมือกับธนาคารในการเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมเช็กยอด โอนเงิน ชำระค่าบริการต่าง ๆ ผ่านวีแชท ซึ่งขณะนี้กำลังคุยรายละเอียดกับธนาคารของไทยอยู่ รวมถึงการจับมือกับโรงแรมต่าง ๆ ให้สามารถจองโรงแรมผ่านวีแชทได้เช่นกัน โดยมีเป้าหมายให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อสื่อสารกันได้ทุกที่ทุกเวลา

สำหรับในเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ยืนยันว่าวีแชทมีความปลอดภัย โดยได้เพิ่มกลไกการใช้งานที่ต้องยืนยันการใช้งานจากทั้งสองทาง การซ่อนรายชื่อบุคคล การปิดกั้นผู้ใช้งาน เพื่อให้ใช้งานได้กับคนที่เราไว้ใจและอนุญาตเท่านั้น และในส่วนของเซิร์ฟเวอร์ข้อมูลก็ได้มีการตั้งอยู่ภายนอกประเทศจีนและไทย การรักษาความปลอดภัยจึงได้มาตรฐานสากลแน่นอน


โอซีเอแนะสถาบันการเงินใช้คลาวด์ข้อมูลต้องปลอดภัย



“โอซีเอ”ชี้สถาบันการเงินปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบคลาวด์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า สามารถเข้าตรวจสอบระบบจากผู้ให้บริการได้

นายไมเคิล มัดด์ เลขาธิการสมาพันธ์ โอเพ่น คอมพิวติ้ง อัลไลแอนซ์ (Open Computing Alliance) เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง กำลังได้รับความนิยมจากธนาคารและสถาบันการเงิน เนื่องจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและช่วยลดต้นทุนได้อย่างมากในเรื่องการซื้อลิขสิทธิ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ออกข้อกำหนดเรื่องการใช้บริการด้านงานเทคโนโลยีสารสนเทศจากผู้ให้บริการายอื่น และปัจจุบันกำลังพิจารณาออกข้อกำหนดในเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะทำให้มาตรการด้านรักษาความปลอดภัยของข้อมูลบนระบบคลาวด์ของไทยจะรัดกุมยิ่งขึ้นในอนาคต

“เมื่อธนาคารและสถาบันการเงินมีการย้ายข้อมูลจากระบบคอมพิวเตอร์เมนเฟรมไปสู่ระบบคลาวด์ ควรต้องตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงของผู้ให้บริการในตลาดทั้งในเรื่องชื่อเสียงและผลงานที่ผ่านมา และจะต้องแน่ใจว่าผู้ให้บริการยินยอมให้ตรวจสอบการทำงานของระบบเพื่อมั่นใจได้ว่าข้อมูลของลูกค้าจะปลอดภัย และต้องรู้ว่าข้อมูลถูกเก็บไว้ที่ใดและต้องเดินทางผ่านประเทศใดบ้าง และข้อมูลจะต้องได้รับการปกป้องโดยกฎหมายของประเทศที่ถูกเก็บข้อมูลไว้”

ด้าน ดร.นคร เสรีรักษ์ ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านความปลอดภัยของข้อมูล กล่าวว่า ปัจจุบันไทยยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยตรง มีแต่เพียงบางส่วนในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร พ.ศ.2540 ขณะที่นานาประเทศมีกฎหมายคุ้มครองในส่วนนี้แล้ว ซึ่งที่ผ่านมายังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ โดยเฉพาะในภาคเอกชนที่กลัวว่าจะเกิดความไม่คล่องตัวในการทำธุรกิจและทำให้มีต้นทุนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมการเงินได้รับประโยชน์จากการใช้ระบบคลาวด์ แต่ไม่ควรนำประโยชน์เรื่องต้นทุนมาเสี่ยงกับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งมีความสำคัญมาก การเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีคลาวด์จึงต้องทำด้วยความระมัดระวัง

อ้างอิง : http://www.dailynews.co.th/technology


วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

เรื่องราวข่าวสารเกี่ยวกับ IT

“แอลจี” ส่งสมาร์ทโฟน “แอลจี จีทู” ลงตลาดไทย


วันนี้(3ก.ย.)ที่โรงแรมดับเบิ้ลยู กรุงเทพฯ นายอนุพันธ์ ภักดีศุภฤทธิ์ หัวหน้ากลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ คือ แอลจี จีทู(LG G2) ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงระดับพรีเมียมของแอลจีในครึ่งปีหลังนี้ โดยมีหน้าจอขนาด 5.2 นิ้ว เทคโนโลยี ฟูล เอชดี ไอพีเอส ที่ให้สีสดสดใสเสมือนจริง มีเทคโนโลยีป้องกันภาพสั่นไหว กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ชิปประมวลผล ควอลคอมม์ สแน็ปดราก้อน 800  2.26 กิกะเฮิร์ซ และแบตเตอรี่ความจุ 3,000 mAh ใช้งานได้นาน พร้อมมีการออกแบบปุ่ม Rear Key อยู่ตรงกลางด้านหลังเครื่อง สามารถใช้นิ้วชี้ปรับเพิ่มลดเสียงการสนทนา เข้าโหมดถ่ายรูป พร้อมมีฟีเจอร์ ช่วยเปิดปิดหน้าจอเพียงแค่เคาะ 2 ครั้งบนหน้าจอเบาๆ รวมถึงมีฟังกชั่นใช้งานแทนรีโมทคอนโทรลกับโทรศัพท์ เซตท๊อป บ๊อกซ์ ฯลฯ


“การเปิดตัวแอลจี จีทูในไทยถือเป็นประเทศแรกในอาเซียน โดยจะเริ่มวางตลาดได้ประมาณปลายเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งของล็อตแรกที่ได้โควตามา 1 หมื่นเครื่องปรากฏว่ามียอดจองหมดแล้ว โดยราคาขายกำลังพิจารณาแต่จะไม่ถึง 2 หมื่นบาทอย่างแน่นอน ซึ่งได้วางงบทำตลาดไว้ที่ 60-70 ล้านบาท โดยบริษัทเตรียมที่จะขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ อาทิ ภาคอีสาน ภาคใต้ ฯลฯ”


นายอนุพันธ์ กล่าวต่อว่า แอลจีจะมีการปรับแผนการทำตลาดโทรศัพท์มือถือใหม่ โดยเริ่มนับจากศูนย์ใหม่ ซึ่งที่ผ่านมามีการทำวิจัยแล้วพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่เห็นว่าแอลจีมีผลิตภัณฑ์ที่ดี ดูแลลูกค้าและบริการหลังการขายดี แต่ลูกค้ายังเข้าถึงสินค้าได้ยาก จึงจะปรับเปลี่ยนมาเน้นการขายปลีกมากกว่าการขายส่งแบบในอดีต ด้วยการเข้าไปจับมือกับคู่ค้า ทั้งโอปอเรเตอร์ และร้านขายอุปกรณ์ไอที รวมถึงพวกร้านตู้โทรศัพท์ ด้วยการเข้าไปให้ความรู้และอบรมพนักงานขายให้สามารถให้ข้อมูลและการใช้งานสินค้ากับลูกค้าได้ ซึ่งในปีนี้แอลจี เตรียมที่จะออกสมาร์ทโฟนในระดับพรีเมียมอีกอย่างน้อย 2 รุ่นด้วย

อ้างอิง : http://www.dailynews.co.th


กสท.แจงผู้ประกอบการก่อนยื่นซื้อซองประมูลทีวีดิจิทัล


วันนี้(3ก.ย.)ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการทัศน์แห่งชาติ(กสทช.)พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกสทช.และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์(กสท.)เปิดเผยว่า ได้จัดชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับการขอรับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล 24 ช่อง โดยมีผู้ประกอบการที่สนใจประมาณ 40 ราย เข้าร่วมรับฟัง ซักถามข้อ โดยเบื้องต้นเป็นการแจ้งรายละเอียดให้ผู้ประกอบการกรอกแบบฟอร์มเอกสารให้ถูกต้องอาทิ   เอกสารการประมูลต้องมีหนังสือรับรองนิติบุคคล   ชื่อผู้ซื้อซองเอกสารประมูลต้องเป็นคนเดียวกับผู้ที่ยื่นขอรับใบอนุญาต  เงินค่าซื้อซองประมูล 1,070,000 บาท  ต่อ ซอง    และการเตรียมหนังสือรับรองจากสถาบันการเงินเพื่อแสดงศักยภาพของบริษัท  ซึ่งการยื่นขอรับใบอนุญาตมีสิทธิ์ยื่นคำขอไม่เกินรายละ 1 ใบของแต่ละหมวดหมู่ และห้ามให้ผู้ยื่นขอช่องคุณภาพสูง(เอสดี)ยื่นขอช่องข่าวสารอีก

หลังจากนั้นในวันที่  10 – 12 ก.ย.56 จะเปิดจำหน่ายซองประมูลที่สำนักงานกสทช. อาคารหอประชุมชั้น 2  ช่วงเวลาระหว่าง 9.30 – 16.00 น.  ซึ่งผู้ประกอบการต้องเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เนื่องจากเอกสารประมูลเมื่อซื้อแล้วจะไม่มีการรับคืนทุกกรณี  และจะมีการชี้แจงอีกครั้งเมื่อซื้อซองแล้วเสร็จในวันที่ 15 ต.ค. 56  และให้ผู้ที่ซื้อซองยื่นเอกสารขอรับการประมูลในวันที่ 28-29 ต.ค.56

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ประกอบการที่เข้ารับฟังการชี้แจง ได้สอบถามเกี่ยวกับ สถานะความเป็นนิติบุคคลของผู้ยื่น หนังสือรับรองทางการเงินจากสถาบันการเงิน หรือแม้กระทั่งความชัดเจนในการกำหนดในการแจ้งรายละเอียด การประมูลของแต่ละลำดับหมวดหมู่

สำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมรับฟังครั้งนี้อาทิ   จีเอ็มเอ็ม  แกรมมี่ , โพสต์ พับบลิชชิ่ง , ทรูวิชั่นส์ , ทรู คอร์ปอเรชั่น , อินทัช , สามารถ คอร์ปอเรชั่น และเครือเนชั่น เป็นต้น

อ้างอิง : http://www.dailynews.co.th


กสท.เพิ่งฟังคำชี้แจงละครฟ้าจรดทราย


วันนี้(3ส.ค.)ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)พล.ท.พีระพงษ์  มานะกิจ กสทช.และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์(กสท.)ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ เปิดเผยว่าหลังหารือร่วมกับผู้บริหารสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 และตัวแทนมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ ว่า ทั้งช่อง 7 และมูลนิธิฯได้เข้ามาชี้แจ้งข้อเท็จจริงกรณีละครฟ้าจรดทราย  ซึ่งยังไม่สามารถสรุปได้ แต่ทางคณะอนุฯก็ได้รับทราบจากต้นทางไปยังปลายทางแล้ว

โดยช่อง 7 ชี้แจงว่าได้ปรับแก้ไขเนื้อหาบางส่วน อาทิ  การเพิ่มฉากแต่งงาน เพื่อให้ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามในขณะที่ผ่านมากระบวนถ่ายทำละครได้ส่งหนังสือไปยังสถานทูตประเทศอียิปต์ พร้อมทั้งแปลบทละครเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นการยอมรับแก้ไขบทถือเป็นการปรับตัวที่ดีของช่อง 7  จึงไม่มีการงดออกอากาศอย่างแน่นอน เนื่องจากไม่มีประโยชน์ ประกอบกับกสทช.ชุดนี้ไม่มีอำนาจในลักษณะดังกล่าว  ในขณะที่มูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติซึ่งเป็นผู้ร้องเรียนนั้นมีความกังวล เนื่องจากมีเนื้อหาบิดเบือนหลักการของศาสนาอิสลาม จึงสร้างความเข้าใจตรงกัน

“แม้จะยังไม่สรุปได้ แต่การรับฟังของทั้ง 2 ฝ่ายถือเป็นเรื่องดีที่ช่อง 7 ยอมปรับตัว การงดออกอากาศจึงไม่มีประโยชน์ใดๆ นอกจากนี้จะไม่มีการให้น้ำหนักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน เนื่องจากเรื่องศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และละครคือละคร  ” พล.ท.พีระพงษ์


อย่างไรก็ตามที่ผ่านมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ ได้ส่งหนังสือให้กสทช.เพื่อขอให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ยุติการออกอากาศละครโทรทัศน์เรื่อง "ฟ้าจรดทราย" เนื่องจากเนื้อหามีการบิดเบือนหลักการศาสนาทำให้ผู้ชมมีความเข้าใจในทางที่ผิดไปจากความเป็นจริง ไม่เหมาะสมของเนื้อหาและบทบาทของตัวละคร มีการบิดเบือนหลักการศาสนาและใส่ร้ายชาวมุสลิมในทางที่เสื่อมเสีย

อ้างอิง : http://www.dailynews.co.th