วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เรื่องราวข่าวสารเกี่ยวกับ IT

iDeveloper Training Course รุ่นที่ 5

หลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเรียนรู้การพัฒนาแอพพลิเคชันบน iPhone/iPad จากแนวคิดเบื้องต้นสู่การสร้างสรรค์แอพพลิเคชันที่สามารถใช้งานได้จริง หลักสูตรเน้นปูพื้นฐานความเข้าใจในหลักการและเฟรมเวิร์คสำหรับการพัฒนาแอพพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการ iOS ควบคู่การฝึกปฏิบัติโดยมีทีมอาจารย์ผู้สอนให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด

เนื้อหา :
การเขียนโปรแกรมภาษา Objective-C
การใช้งานโปรแกรม Xcode สำหรับการสร้างแอพพลิเคชัน
เฟรมเวิร์ค Cocoa Touch และ GUI Controls ที่สำคัญ
Design Patterns (Target-Action, MVC, Delegation)
การพัฒนาแอพพลิเคชันแบบ Single View และ Multiple View
ระบบฐานข้อมูลบน iOS (Core Data)
การอ่าน Web Feed และใช้งาน Web Services
การใช้งาน Social Networking API
การใช้งาน MapKit


วัน-เวลา : จัดอบรมในวันเสาร์-อาทิตย์ รวม 6 วัน ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม - 15 กันยายน 2556 เวลา 9:30 - 16.30 (ตารางอบรม)

ผู้เข้าอบรม : บุคคลทั่วไปผู้มีความรู้พื้นฐานในการพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ด้วยภาษา คอมพิวเตอร์ ได้แก่ C, C++, C#, Java, Python, Perl, PHP, JavaScript ฯลฯ อย่างน้อย 1 ภาษา จำนวน 30 คน

อุปกรณ์ประกอบการอบรม (ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) :
มีเครื่องคอมพิวเตอร์ iMac ให้ใช้ฝึกปฏิบัติระหว่างการอบรม 1 เครื่องต่อ 1 ท่าน
เครื่อง iPad และ iPod Touch สำหรับทดสอบแอพพลิเคชัน
(ผู้เรียนสามารถใช้อุปกรณ์ iOS ของตนเองในการทดสอบได้ โดยผู้จัดจะเตรียม iOS Educational Developer Account ให้ใช้ระหว่างการอบรม)


อัตราค่าอบรม :
บุคคลทั่วไป : 9,000 บาท/ท่าน (net)
นักเรียน-นักศึกษา : 6,000 บาท/ท่าน (net)


การสมัคร :
สมัครออนไลน์ได้ที่ http://www.ideveloperworld.com


สถานที่อบรม :
ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ วิทยาลัยนานาชาติ
ชั้น 8 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 55 พรรษา
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ถนนฉลองกรุง ลาดกระบัง กรุงเทพฯ


ดูรายละเอียดของหลักสูตรและการสมัครได้ที่ http://www.ideveloperworld.com
หรือสอบถามที่อีเมล์ ic at kmitl.ac.th หรือโทร. 081-751-4994, 02-329-8261, 02-329-8262

ติดต่อข่าวสารของหลักสูตรได้ทาง iDevelopers Facebook Page : https://www.facebook.com/idevelopers.kmitl

อ้างอิงจากhttp://www.overclockzone.com/


การเมืองไม่กระทบอุตไอที อยากเห็นจบเร็ว


ผู้ประกอบการธุรกิจไอทีประสานเสียง "การเมือง" ไม่สะเทือนตลาด 
รับเป็นเหตุการณ์ปกติของทุกปีตลาดรับมือได้ แต่ย้ำต้องไม่ยืดเยื้อ


นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้บริษัทเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจไอทีไม่มากเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ แต่หากยังยืดเยื้อ และรุนแรงก็อาจจะมีผลโดยธรรมชาติ เพราะกระทบบรรยากาศการซื้อขาย

ทั้งนี้บริษัทยังประเมินจากการเปลี่ยนแปลงกว่า 20 ปีในอุตสาหกรรมไอทีที่เกิดเหตุการณ์และวิกฤติมาทุกรูปแบบ แต่ตลาดก็ยังเติบโตมาได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการปรับตัวของผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องดึงจุดแข็ง และปรับปรุงจุดอ่อนให้ได้

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ เช่น ค่าเงินบาทที่ไม่มีเสถียรภาพและปัญหาเศรษฐกิจโลกทั้งสหรัฐและยุโรป กลับมีผลต่อธุรกิจไอทีมากกว่าการเมือง เพราะทำให้วางแผนธุรกิจได้ยาก โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่แข็งค่า หรืออ่อนค่าเร็วเกินไปทำให้เกิดความเสี่ยงต่อธุรกิจสูง

ปรับเป้าลดรับมือ

"คนไทยเริ่มชินกับการเมือง สังเกตดูเวลามีม็อบครั้งแรกๆ เมื่อหลายปีก่อนกับม็อบตอนนี้ความตื่นตัวต่างกัน เกิดบ่อยๆ ทำให้ทุกคนเริ่มมีภูมิต้านทาน แต่ก็ต้องดูด้วยว่าครั้งนี้จะยืดเยื้อหรือรุนแรงแค่ไหนด้วย ซึ่งก็ยังเชื่อว่าจะไม่เอฟเฟ็กต์กับไอทีมาก เว้นกลุ่มท่องเที่ยวที่น่าจะกระทบแน่ๆ แต่ที่ชัดเจนเลยคือ เรื่องเศรษฐกิจเพราะตราบใดที่ไม่มีเสถียรภาพธุรกิจก็ทำงานลำบาก รัฐต้องหาวิธีทำอย่างไรให้ค่าเงินไม่แข็งค่าหรืออ่อนค่าเร็วเกินไป"

พร้อมระบุว่าในช่วงนี้บริษัทก็เริ่มปรับแผนหันไปให้ความสำคัญกับตลาดกลุ่มที่เชื่อว่ายังมีโอกาสเติบโต ทั้งตลาดนอกประเทศ เช่น พม่า ที่ขณะนี้ยังบริษัทซินเน็ค เมียนมมาร์ เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างเจรจากับสินค้าไอทีเพื่อให้บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศดังกล่าว

ส่วนตลาดในไทยก็ยังมีกลุ่มที่เติบโตได้ดี เช่น ตลาดองค์กรและภาครัฐ รวมทั้งการปรับกลยุทธ์การบริหารหาสินค้ารุ่นที่เหมาะกับตลาดไทย และควบคุมค่าใช้จ่ายให้รอบคอบมากขึ้น

โดยปีนี้บริษัทได้ปรับลดเป้าการเติบโตให้เหลือในระดับที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา

มือถือได้อานิสงส์3จี

ขณะที่นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท กล่าวว่า เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นคาดว่าจะส่งผลต่อภาพรวมธุรกิจในประเทศไม่ดี แต่เว้นกลุ่มมือถือที่ถูกขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี 3จี และการผลักดันจากฝั่งของผู้ให้บริการระบบทำให้ธุรกิจค้าปลีกมือถือยังไม่เห็นผลกระทบใดๆ และยังมียอดขายเติบโตดี

เช่นเดียวกับปัจจัยเงินบาทอ่อนค่าที่ก็ยังไม่กระทบกับเจมาร์ท เนื่องจากเป็นการซื้อจากซัพพลายเออร์ภายในประเทศและชำระเป็นเงินบาท ทั้งราคาตัวเครื่องก็มีแนวโน้มลดลงและมีรุ่นใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาดต่อเนื่องทำให้ธุรกิจยังเติบโตได้

แต่ทั้งนี้บริษัทก็ยังจับตาดูความเคลื่อนไหวทางการเมือง และทิศทางของอุตสาหกรรม แต่ก็เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบใดๆ กับการซื้อขายและยังมีแนวโน้มคึกคักมากขึ้นในครึ่งปีหลังทำให้บริษัทยังไม่จำเป็นต้องปรับลดเป้ารายได้ในปีนี้

ผู้จัดงานมองมุมบวกสินค้าใหม่หนุนตลาด

นายโอภาส เฉิดพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด ผู้จัดงานไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป กล่าวว่า หากสถานการณ์การเมืองจบได้เร็วและไม่ยืดเยื้อเกิน 1-2 เดือน ตลาดมือถือในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มคึกคักมาก เนื่องจากมีเทคโนโลยีใหม่และสินค้ารุ่นใหม่ๆ เตรียมเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก โดยเฉพาะเทรนด์ใหม่ของอุปกรณ์ไอทีแบบสวมใส่ได้ (Wearable Device) ซึ่งงานโมบาย เอ็กซ์โปช่วงต้นเดือน ต.ค.นี้มีแบรนด์มือถือหลายรายเตรียมนำสินค้ากลุ่มดังกล่าวเข้ามาทำตลาด

อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ยืดเยื้อ ธุรกิจก็อาจต้องกลับไปใช้แผนสองเหมือนที่เคยทำช่วงที่เกิดวิกฤติต่างๆ คือ ชะลอแผน หรือหากเปิดตัวสินค้าก็ย่อสเกลให้เล็กเพื่อประคองตัวให้ผ่านไปได้ก่อน

"เหตุการณ์แบบนี้เริ่มไม่แปลกแล้ว คือถ้าก่อนวันแม่ยังไม่จบ ก็คงกลับไปใช้แผนสองเหมือนที่เคยทำคือชะลอไว้ และเปิดตัวเล็กๆ แล้วก็ขาย ซึ่งก็เชื่อว่าทุกคนรับมือได้ แต่ถ้าจบเร็วตลาดก็จะเป็นบวก เพราะครึ่งปีหลังจะคนละเรื่องกับครึ่งปีแรกที่ซบเซาแน่นอน เนื่องจากมีเทคโนโลยีใหม่เตรียมเข้าสู่ตลาด"

นายปฐม อินทโรดม กรรมการบริหารและผู้จัดการทั่วไป บมจ.เออาร์ไอพี ผู้จัดงานคอมมาร์ต กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า หากสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อจะส่งผลดีต่อตลาด เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ฝากความหวังไว้กับตลาดครึ่งปีหลัง ขณะที่ตลาดไอที คอนซูเมอร์ก็ผูกติดกับความเชื่อมั่นในภาพรวมมากกว่ากลุ่มเอ็นเตอร์ไพรซ์ แต่ก็ยังไม่เห็นสัญญาณการชะลอตัวใดๆ เช่นเดียวกับงานคอมมาร์ตที่ขณะนี้ยังไม่ปรับแผน

อ้างอิงจาก : http://www.bangkokbiznews.com/


คนไทยยุค3Gขี้เบื่อขยะอิเล็กทรอนิกส์โตพรวด


ขยะอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นทุกปี "มือถือ" นำโด่งแซงหน้า "คอมพิวเตอร์พีซี" ค่ายมือถือโหมกระแสดึงลูกค้า-คนไทยยุค 3G ขี้เบื่อ ใช้งานแค่ 6 เดือนเปลี่ยนเครื่องใหม่ ขณะที่ธุรกิจใช้วิธีเช่าซื้อคอมพิวเตอร์เปิดช่องธุรกิจขายเครื่องมือสองโต ติดลม "ดีลเลอร์" เหมาซื้อยกลอตขายต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ฟาก "กรมควบคุมมลพิษ" เผยตัวเลขคาดการณ์ซาก "มือถือ-คอมพิวเตอร์"

นายสมชัย สิทธิชัยศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) ผู้ค้าส่งสินค้าไอที และโทรศัพท์มือถือ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ประเทศไทยมีขยะที่เกิดจากคอมพิวเตอร์ที่เสียหรือหมดอายุใช้งานทุกปี ปัจจุบันยังไม่มีการจัดการ แต่เมื่อถึงเวลาที่ขยะอิเล็กทรอนิกส์มีมากถึงระดับคุ้มทุนในการประกอบธุรกิจ รีไซเคิลจะมีผู้ประกอบการคัดแยกแร่นำไฟฟ้าออกจากขยะอิเล็กทรอนิกส์เช่นเดียว กับในยุโรปและอเมริกายอดขายคอมพิวเตอร์ใหม่ในปีนี้ 3.5 ล้านเครื่อง ใช้ในภาคธุรกิจ 40% หรือ 1.5 ล้านเครื่อง องค์กรส่วนใหญ่มีระยะเวลาใช้งานชัดเจน และนิยมเช่าใช้ จึงมีเครื่องเก่าเข้ามาในตลาดมือสองประมาณ 30% หรือ 500,000 เครื่อง ปัจจุบันมีดีลเลอร์รายใหญ่ 5-10 ราย รับซื้อเครื่องเก่าเพื่อนำไปจำหน่ายต่อทั้งใน และต่างประเทศ กรณีส่งออกจะส่งไปพม่า และอินเดีย ส่วนในประเทศเน้นองค์กรระดับเอสเอ็มอีและนักศึกษา ในราคา 1,000-2,000 บาทเท่านั้น

"เรากำลังจะมีโครงการร่วมกับดีแทคทำที่ทิ้งขยะ อิเล็กทรอนิกส์ เช่น แบตเตอรี่ หรือเมาส์ โดยดีแทคจ้างบริษัทต่างประเทศมาเก็บไปแยกส่วนที่นำมาใช้ต่ออีกที" 

นาย บุญชัย เงาวิศิษฎ์กุล อดีตผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์โมบิลิตี้ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า คนไทยเฉลี่ยการเปลี่ยนคอมพิวเตอร์อยู่ที่ 5 ปี ขณะที่เครื่องเก่าถูกนำไปจำหน่ายให้ธุรกิจรับซื้อเครื่องมือสองมากกว่านำไป ทิ้ง

"เอเซอร์พยายามแก้ปัญหาจากต้นทางด้วยการไม่ใช้จอที่ทำจากสารตะกั่ว แต่แก้ไม่ได้ 100% และมีโครงการแลกเครื่องใหม่ปีละ 2-3 ครั้ง"

นาย อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจมาร์ท กล่าวว่า ยอดขายโทรศัพท์มือถือในปีนี้มีกว่า 20 ล้านเครื่อง ขณะที่ผู้บริโภคเปลี่ยนเครื่องเร็วขึ้นจาก 2-3 ปี เหลือ 6 เดือน แต่เครื่องเก่าที่มีไม่ถึงขั้นเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพราะถ้าไม่เก็บเครื่องไว้สำรองก็จะนำไปขายต่อ ปัจจัยที่ทำให้คนเปลี่ยนเครื่อง เพราะต้องการใช้ 3G ซึ่งฟีเจอร์โฟนรุ่นเก่าใช้ไม่ได้

ในปีนี้ยอดขายเป็นสมาร์ทโฟน 60% ฟีเจอร์โฟน 40% ขณะที่มีซิมเปิดใช้กว่า 88 ล้านเลขหมาย แต่มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 75% หมายความว่ามีเครื่องในตลาดมือสองรวมกับที่อยู่ตามบ้านเกือบ 20 ล้านเครื่อง

"จริง ๆ ถ้าเจาะไปที่ตลาดมือถือสองจะพบว่าโตขึ้นเร็วมาก แต่ยังไม่มีใครลงไปสำรวจว่ามากขนาดไหน"

ด้าน นายมงคลฤกษ์ พูลพัฒน์ ผู้จัดการ ร้านเอโอบีโมบาย กล่าวว่า ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องบ่อยขึ้น สังเกตได้จากระยะเวลาที่มีสินค้ารุ่นใหม่วางตลาดกับการนำมาวางจำหน่ายเป็น สินค้ามือสองมีให้เห็นเพิ่มขึ้นในระยะเวลาที่สั้นลง ที่ร้านมีเครื่องมือสองอายุใช้งานไม่เกิน 6-8 เดือน 30% อีก 70% เป็นเครื่องอายุการใช้งานเกิน 1 ปี

"เครื่องมือสองกำไรสูงกว่าขาย เครื่องใหม่ แม้แต่เครื่องที่เสียแล้วเราก็รับซื้อในราคา 500-1,000 บาท เพื่อนำไปขายให้ร้านรับซ่อมมือถือใช้เป็นอะไหล่"

ดร.กิตติณัฐ ทีคะวรรณ ผู้อำนวยการด้านบริหารผลิตภัณฑ์ดีไวซ์ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า บริษัทมีโครงการนำไอโฟนรุ่นเก่ามาใช้เป็นส่วนลดซื้อไอโฟน 5 ตั้งแต่ปลาย มิ.ย.ที่ผ่านมา มีลูกค้าเข้าร่วมกว่า 1,000 ราย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ไม่รู้ว่าจะนำเครื่องเก่าไปทำอะไร และต้องการอัพเกรดโทรศัพท์ไปใช้ 4G

"ทรูนำไอโฟนมือสองไปจำหน่ายให้ดีลเลอร์รายใหญ่ 3-4 เจ้าในราคาต้นทุน ดีลเลอร์จะนำไปจำหน่ายในตลาดมือสองต่อไป"

นาย กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไบรท์สตาร์ ประเทศไทย กล่าวว่า ในต่างประเทศมีโครงการรับซื้อเครื่องคืน และให้ผู้บริโภคนำเครื่องเก่ามาแลกเครื่องใหม่ โดยร่วมกับโอเปอเรเตอร์บางราย เพื่อรักษาฐานลูกค้าแล้วนำเครื่องเหล่านั้นไปขายในประเทศที่ 3 ที่ต้องการมือถือราคาย่อมเยา

จากผลการศึกษาโครงการพัฒนาแนวทางการ ประเมินซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของกรมควบคุมมลพิษมี การคาดการณ์ปริมาณซากโทรศัพท์มือถือที่จะเกิดขึ้นในปี 2556 ที่ 9.14 ล้านเครื่อง และเพิ่มขึ้นเป็น 9.75 ล้านเครื่องในปี 2557 และทะลุ 10 ล้านเครื่อง

ในปี 2558 ขณะที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลปีนี้อยู่ที่ 1.99 ล้านเครื่อง เพิ่มเป็น 2.21 ล้านเครื่องในปี 2557 และ 2.42 ล้านเครื่องในปี 2558

ขณะที่ผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มครัวเรือน เมื่อไม่ใช้มือถือและคอมพิวเตอร์แล้ว กว่า 50% นำไปขาย อีก 30% เก็บไว้ ขณะที่มีผู้บริโภคราว 8-12% นำไปทิ้งรวมกับขยะอื่น

อ้างอิงจาก : http://www.prachachat.net

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น