iDeveloper Training Course รุ่นที่ 5

หลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเรียนรู้การพัฒนาแอพพลิเคชันบน
iPhone/iPad จากแนวคิดเบื้องต้นสู่การสร้างสรรค์แอพพลิเคชันที่สามารถใช้งานได้จริง
หลักสูตรเน้นปูพื้นฐานความเข้าใจในหลักการและเฟรมเวิร์คสำหรับการพัฒนาแอพพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการ
iOS ควบคู่การฝึกปฏิบัติโดยมีทีมอาจารย์ผู้สอนให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด
เนื้อหา :
การเขียนโปรแกรมภาษา Objective-C
การใช้งานโปรแกรม Xcode สำหรับการสร้างแอพพลิเคชัน
เฟรมเวิร์ค Cocoa Touch และ
GUI Controls ที่สำคัญ
Design Patterns (Target-Action, MVC, Delegation)
การพัฒนาแอพพลิเคชันแบบ Single View และ
Multiple View
ระบบฐานข้อมูลบน iOS (Core Data)
การอ่าน Web Feed และใช้งาน
Web Services
การใช้งาน Social Networking API
การใช้งาน MapKit
วัน-เวลา : จัดอบรมในวันเสาร์-อาทิตย์ รวม 6
วัน ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม - 15 กันยายน 2556 เวลา 9:30 - 16.30 (ตารางอบรม)
ผู้เข้าอบรม : บุคคลทั่วไปผู้มีความรู้พื้นฐานในการพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ด้วยภาษา
คอมพิวเตอร์ ได้แก่ C, C++, C#, Java, Python, Perl, PHP, JavaScript ฯลฯ
อย่างน้อย 1 ภาษา จำนวน 30 คน
อุปกรณ์ประกอบการอบรม
(ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) :
มีเครื่องคอมพิวเตอร์ iMac ให้ใช้ฝึกปฏิบัติระหว่างการอบรม
1 เครื่องต่อ 1 ท่าน
เครื่อง iPad และ
iPod Touch สำหรับทดสอบแอพพลิเคชัน
(ผู้เรียนสามารถใช้อุปกรณ์ iOS ของตนเองในการทดสอบได้
โดยผู้จัดจะเตรียม iOS Educational Developer Account ให้ใช้ระหว่างการอบรม)
อัตราค่าอบรม :
บุคคลทั่วไป : 9,000 บาท/ท่าน (net)
นักเรียน-นักศึกษา : 6,000 บาท/ท่าน (net)
การสมัคร :
สถานที่อบรม :
ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ วิทยาลัยนานาชาติ
ชั้น 8 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 55 พรรษา
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ถนนฉลองกรุง ลาดกระบัง กรุงเทพฯ
หรือสอบถามที่อีเมล์ ic at kmitl.ac.th หรือโทร.
081-751-4994, 02-329-8261, 02-329-8262
ติดต่อข่าวสารของหลักสูตรได้ทาง iDevelopers
Facebook Page : https://www.facebook.com/idevelopers.kmitl
อ้างอิงจาก : http://www.overclockzone.com/
การเมืองไม่กระทบอุตไอที
อยากเห็นจบเร็ว
ผู้ประกอบการธุรกิจไอทีประสานเสียง
"การเมือง" ไม่สะเทือนตลาด
รับเป็นเหตุการณ์ปกติของทุกปีตลาดรับมือได้
แต่ย้ำต้องไม่ยืดเยื้อ
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี
ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) กล่าวว่า
สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้บริษัทเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจไอทีไม่มากเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ
โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ
แต่หากยังยืดเยื้อ และรุนแรงก็อาจจะมีผลโดยธรรมชาติ เพราะกระทบบรรยากาศการซื้อขาย
ทั้งนี้บริษัทยังประเมินจากการเปลี่ยนแปลงกว่า
20 ปีในอุตสาหกรรมไอทีที่เกิดเหตุการณ์และวิกฤติมาทุกรูปแบบ
แต่ตลาดก็ยังเติบโตมาได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการปรับตัวของผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องดึงจุดแข็ง
และปรับปรุงจุดอ่อนให้ได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ เช่น
ค่าเงินบาทที่ไม่มีเสถียรภาพและปัญหาเศรษฐกิจโลกทั้งสหรัฐและยุโรป
กลับมีผลต่อธุรกิจไอทีมากกว่าการเมือง เพราะทำให้วางแผนธุรกิจได้ยาก
โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่แข็งค่า
หรืออ่อนค่าเร็วเกินไปทำให้เกิดความเสี่ยงต่อธุรกิจสูง
ปรับเป้าลดรับมือ
"คนไทยเริ่มชินกับการเมือง
สังเกตดูเวลามีม็อบครั้งแรกๆ เมื่อหลายปีก่อนกับม็อบตอนนี้ความตื่นตัวต่างกัน
เกิดบ่อยๆ ทำให้ทุกคนเริ่มมีภูมิต้านทาน แต่ก็ต้องดูด้วยว่าครั้งนี้จะยืดเยื้อหรือรุนแรงแค่ไหนด้วย
ซึ่งก็ยังเชื่อว่าจะไม่เอฟเฟ็กต์กับไอทีมาก เว้นกลุ่มท่องเที่ยวที่น่าจะกระทบแน่ๆ
แต่ที่ชัดเจนเลยคือ เรื่องเศรษฐกิจเพราะตราบใดที่ไม่มีเสถียรภาพธุรกิจก็ทำงานลำบาก
รัฐต้องหาวิธีทำอย่างไรให้ค่าเงินไม่แข็งค่าหรืออ่อนค่าเร็วเกินไป"
พร้อมระบุว่าในช่วงนี้บริษัทก็เริ่มปรับแผนหันไปให้ความสำคัญกับตลาดกลุ่มที่เชื่อว่ายังมีโอกาสเติบโต
ทั้งตลาดนอกประเทศ เช่น พม่า ที่ขณะนี้ยังบริษัทซินเน็ค เมียนมมาร์ เรียบร้อยแล้ว
และอยู่ระหว่างเจรจากับสินค้าไอทีเพื่อให้บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศดังกล่าว
ส่วนตลาดในไทยก็ยังมีกลุ่มที่เติบโตได้ดี เช่น
ตลาดองค์กรและภาครัฐ
รวมทั้งการปรับกลยุทธ์การบริหารหาสินค้ารุ่นที่เหมาะกับตลาดไทย
และควบคุมค่าใช้จ่ายให้รอบคอบมากขึ้น
โดยปีนี้บริษัทได้ปรับลดเป้าการเติบโตให้เหลือในระดับที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
มือถือได้อานิสงส์3จี
ขณะที่นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท กล่าวว่า
เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นคาดว่าจะส่งผลต่อภาพรวมธุรกิจในประเทศไม่ดี
แต่เว้นกลุ่มมือถือที่ถูกขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี 3จี
และการผลักดันจากฝั่งของผู้ให้บริการระบบทำให้ธุรกิจค้าปลีกมือถือยังไม่เห็นผลกระทบใดๆ
และยังมียอดขายเติบโตดี
เช่นเดียวกับปัจจัยเงินบาทอ่อนค่าที่ก็ยังไม่กระทบกับเจมาร์ท
เนื่องจากเป็นการซื้อจากซัพพลายเออร์ภายในประเทศและชำระเป็นเงินบาท
ทั้งราคาตัวเครื่องก็มีแนวโน้มลดลงและมีรุ่นใหม่ๆ
เข้ามากระตุ้นตลาดต่อเนื่องทำให้ธุรกิจยังเติบโตได้
แต่ทั้งนี้บริษัทก็ยังจับตาดูความเคลื่อนไหวทางการเมือง
และทิศทางของอุตสาหกรรม แต่ก็เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบใดๆ
กับการซื้อขายและยังมีแนวโน้มคึกคักมากขึ้นในครึ่งปีหลังทำให้บริษัทยังไม่จำเป็นต้องปรับลดเป้ารายได้ในปีนี้
ผู้จัดงานมองมุมบวกสินค้าใหม่หนุนตลาด
นายโอภาส เฉิดพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร
บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด ผู้จัดงานไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป กล่าวว่า
หากสถานการณ์การเมืองจบได้เร็วและไม่ยืดเยื้อเกิน 1-2 เดือน
ตลาดมือถือในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มคึกคักมาก เนื่องจากมีเทคโนโลยีใหม่และสินค้ารุ่นใหม่ๆ
เตรียมเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก โดยเฉพาะเทรนด์ใหม่ของอุปกรณ์ไอทีแบบสวมใส่ได้ (Wearable
Device) ซึ่งงานโมบาย เอ็กซ์โปช่วงต้นเดือน
ต.ค.นี้มีแบรนด์มือถือหลายรายเตรียมนำสินค้ากลุ่มดังกล่าวเข้ามาทำตลาด
อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ยืดเยื้อ
ธุรกิจก็อาจต้องกลับไปใช้แผนสองเหมือนที่เคยทำช่วงที่เกิดวิกฤติต่างๆ คือ ชะลอแผน
หรือหากเปิดตัวสินค้าก็ย่อสเกลให้เล็กเพื่อประคองตัวให้ผ่านไปได้ก่อน
"เหตุการณ์แบบนี้เริ่มไม่แปลกแล้ว
คือถ้าก่อนวันแม่ยังไม่จบ ก็คงกลับไปใช้แผนสองเหมือนที่เคยทำคือชะลอไว้
และเปิดตัวเล็กๆ แล้วก็ขาย ซึ่งก็เชื่อว่าทุกคนรับมือได้
แต่ถ้าจบเร็วตลาดก็จะเป็นบวก
เพราะครึ่งปีหลังจะคนละเรื่องกับครึ่งปีแรกที่ซบเซาแน่นอน
เนื่องจากมีเทคโนโลยีใหม่เตรียมเข้าสู่ตลาด"
นายปฐม อินทโรดม
กรรมการบริหารและผู้จัดการทั่วไป บมจ.เออาร์ไอพี ผู้จัดงานคอมมาร์ต
กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า หากสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อจะส่งผลดีต่อตลาด
เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ฝากความหวังไว้กับตลาดครึ่งปีหลัง ขณะที่ตลาดไอที
คอนซูเมอร์ก็ผูกติดกับความเชื่อมั่นในภาพรวมมากกว่ากลุ่มเอ็นเตอร์ไพรซ์
แต่ก็ยังไม่เห็นสัญญาณการชะลอตัวใดๆ เช่นเดียวกับงานคอมมาร์ตที่ขณะนี้ยังไม่ปรับแผน
อ้างอิงจาก : http://www.bangkokbiznews.com/
คนไทยยุค3Gขี้เบื่อขยะอิเล็กทรอนิกส์โตพรวด

ขยะอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นทุกปี
"มือถือ" นำโด่งแซงหน้า "คอมพิวเตอร์พีซี"
ค่ายมือถือโหมกระแสดึงลูกค้า-คนไทยยุค 3G ขี้เบื่อ ใช้งานแค่ 6
เดือนเปลี่ยนเครื่องใหม่
ขณะที่ธุรกิจใช้วิธีเช่าซื้อคอมพิวเตอร์เปิดช่องธุรกิจขายเครื่องมือสองโต ติดลม
"ดีลเลอร์" เหมาซื้อยกลอตขายต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ฟาก
"กรมควบคุมมลพิษ" เผยตัวเลขคาดการณ์ซาก "มือถือ-คอมพิวเตอร์"
นายสมชัย สิทธิชัยศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ
บมจ.เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) ผู้ค้าส่งสินค้าไอที และโทรศัพท์มือถือ
กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า
ประเทศไทยมีขยะที่เกิดจากคอมพิวเตอร์ที่เสียหรือหมดอายุใช้งานทุกปี
ปัจจุบันยังไม่มีการจัดการ แต่เมื่อถึงเวลาที่ขยะอิเล็กทรอนิกส์มีมากถึงระดับคุ้มทุนในการประกอบธุรกิจ
รีไซเคิลจะมีผู้ประกอบการคัดแยกแร่นำไฟฟ้าออกจากขยะอิเล็กทรอนิกส์เช่นเดียว
กับในยุโรปและอเมริกายอดขายคอมพิวเตอร์ใหม่ในปีนี้ 3.5
ล้านเครื่อง ใช้ในภาคธุรกิจ 40% หรือ 1.5
ล้านเครื่อง องค์กรส่วนใหญ่มีระยะเวลาใช้งานชัดเจน และนิยมเช่าใช้ จึงมีเครื่องเก่าเข้ามาในตลาดมือสองประมาณ
30% หรือ 500,000
เครื่อง ปัจจุบันมีดีลเลอร์รายใหญ่ 5-10 ราย
รับซื้อเครื่องเก่าเพื่อนำไปจำหน่ายต่อทั้งใน และต่างประเทศ กรณีส่งออกจะส่งไปพม่า
และอินเดีย ส่วนในประเทศเน้นองค์กรระดับเอสเอ็มอีและนักศึกษา ในราคา 1,000-2,000
บาทเท่านั้น
"เรากำลังจะมีโครงการร่วมกับดีแทคทำที่ทิ้งขยะ
อิเล็กทรอนิกส์ เช่น แบตเตอรี่ หรือเมาส์
โดยดีแทคจ้างบริษัทต่างประเทศมาเก็บไปแยกส่วนที่นำมาใช้ต่ออีกที"
นาย บุญชัย เงาวิศิษฎ์กุล
อดีตผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์โมบิลิตี้ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด
กล่าวว่า คนไทยเฉลี่ยการเปลี่ยนคอมพิวเตอร์อยู่ที่ 5 ปี
ขณะที่เครื่องเก่าถูกนำไปจำหน่ายให้ธุรกิจรับซื้อเครื่องมือสองมากกว่านำไป ทิ้ง
"เอเซอร์พยายามแก้ปัญหาจากต้นทางด้วยการไม่ใช้จอที่ทำจากสารตะกั่ว
แต่แก้ไม่ได้ 100% และมีโครงการแลกเครื่องใหม่ปีละ 2-3
ครั้ง"
นาย อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจมาร์ท กล่าวว่า ยอดขายโทรศัพท์มือถือในปีนี้มีกว่า 20
ล้านเครื่อง ขณะที่ผู้บริโภคเปลี่ยนเครื่องเร็วขึ้นจาก 2-3 ปี
เหลือ 6 เดือน
แต่เครื่องเก่าที่มีไม่ถึงขั้นเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์
เพราะถ้าไม่เก็บเครื่องไว้สำรองก็จะนำไปขายต่อ ปัจจัยที่ทำให้คนเปลี่ยนเครื่อง
เพราะต้องการใช้ 3G ซึ่งฟีเจอร์โฟนรุ่นเก่าใช้ไม่ได้
ในปีนี้ยอดขายเป็นสมาร์ทโฟน 60%
ฟีเจอร์โฟน 40% ขณะที่มีซิมเปิดใช้กว่า 88
ล้านเลขหมาย แต่มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 75%
หมายความว่ามีเครื่องในตลาดมือสองรวมกับที่อยู่ตามบ้านเกือบ 20
ล้านเครื่อง
"จริง ๆ
ถ้าเจาะไปที่ตลาดมือถือสองจะพบว่าโตขึ้นเร็วมาก
แต่ยังไม่มีใครลงไปสำรวจว่ามากขนาดไหน"
ด้าน นายมงคลฤกษ์ พูลพัฒน์ ผู้จัดการ
ร้านเอโอบีโมบาย กล่าวว่า ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องบ่อยขึ้น
สังเกตได้จากระยะเวลาที่มีสินค้ารุ่นใหม่วางตลาดกับการนำมาวางจำหน่ายเป็น
สินค้ามือสองมีให้เห็นเพิ่มขึ้นในระยะเวลาที่สั้นลง
ที่ร้านมีเครื่องมือสองอายุใช้งานไม่เกิน 6-8 เดือน
30% อีก 70%
เป็นเครื่องอายุการใช้งานเกิน 1 ปี
"เครื่องมือสองกำไรสูงกว่าขาย เครื่องใหม่
แม้แต่เครื่องที่เสียแล้วเราก็รับซื้อในราคา 500-1,000
บาท เพื่อนำไปขายให้ร้านรับซ่อมมือถือใช้เป็นอะไหล่"
ดร.กิตติณัฐ ทีคะวรรณ
ผู้อำนวยการด้านบริหารผลิตภัณฑ์ดีไวซ์ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า
บริษัทมีโครงการนำไอโฟนรุ่นเก่ามาใช้เป็นส่วนลดซื้อไอโฟน 5
ตั้งแต่ปลาย มิ.ย.ที่ผ่านมา มีลูกค้าเข้าร่วมกว่า 1,000
ราย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ไม่รู้ว่าจะนำเครื่องเก่าไปทำอะไร
และต้องการอัพเกรดโทรศัพท์ไปใช้ 4G
"ทรูนำไอโฟนมือสองไปจำหน่ายให้ดีลเลอร์รายใหญ่ 3-4
เจ้าในราคาต้นทุน ดีลเลอร์จะนำไปจำหน่ายในตลาดมือสองต่อไป"
นาย กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ ผู้จัดการทั่วไป
บริษัท ไบรท์สตาร์ ประเทศไทย กล่าวว่า ในต่างประเทศมีโครงการรับซื้อเครื่องคืน
และให้ผู้บริโภคนำเครื่องเก่ามาแลกเครื่องใหม่ โดยร่วมกับโอเปอเรเตอร์บางราย
เพื่อรักษาฐานลูกค้าแล้วนำเครื่องเหล่านั้นไปขายในประเทศที่ 3
ที่ต้องการมือถือราคาย่อมเยา
จากผลการศึกษาโครงการพัฒนาแนวทางการ
ประเมินซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของกรมควบคุมมลพิษมี
การคาดการณ์ปริมาณซากโทรศัพท์มือถือที่จะเกิดขึ้นในปี 2556
ที่ 9.14 ล้านเครื่อง และเพิ่มขึ้นเป็น 9.75
ล้านเครื่องในปี 2557 และทะลุ 10
ล้านเครื่อง
ในปี 2558
ขณะที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลปีนี้อยู่ที่ 1.99
ล้านเครื่อง เพิ่มเป็น 2.21 ล้านเครื่องในปี 2557
และ 2.42 ล้านเครื่องในปี 2558
ขณะที่ผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มครัวเรือน
เมื่อไม่ใช้มือถือและคอมพิวเตอร์แล้ว กว่า 50% นำไปขาย
อีก 30% เก็บไว้ ขณะที่มีผู้บริโภคราว 8-12% นำไปทิ้งรวมกับขยะอื่น
อ้างอิงจาก : http://www.prachachat.net
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น