วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เรื่องราวข่าวสารเกี่ยวกับ IT

กูเกิลชวนเปิดร้านออนไลน์ - ช็อปฉลาดตลาดอัจฉริยะ

“Google” (กูเกิล)  คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ไม่รู้จัก เนื่องจากเป็นเครื่องมือในการค้นคว้าข้อมูลรอบโลก ซึ่งผู้ใช้งานทั่วโลกยอมรับ และเปิดให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานชีวิตประจำวัน  หนึ่งในนั้นคือ การเปิดร้านค้าบนออนไลน์
โดยขอหยิบยกผู้หญิง 4 กลุ่มตัวอย่างทำธุรกิจบนสื่อออนไลน์ และดึง Google AdWords  (กูเกิล แอดเวิร์ด)  เข้ามาช่วยให้สามารถค้นหาคำฮิต บนกูเกิลได้อย่างรวดเร็วและง่ายต่อผู้ใช้บริการ สำหรับธุรกิจบนสื่อออนไลน์
น.ส.พลอยทราย ภัสสรศิริ เจ้าของธุรกิจรับจัดงานฌาปนกิจสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร ทิ้งแนวคิดเดิมในการทำธุรกิจต้องมีหน้าร้าน มาสู่การบริหารจัดการบน www. petscrematorium.com ที่นอกจากลดต้นทุนค่าเช่าพื้นที่ ค่าน้ำ ค่าใช้จ่าย ค่าไฟแล้ว ยังอินเทรนด์กลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ที่ใช้อินเทอร์เน็ต ลูกค้าสามารถดูได้แบบเรียลไทม์ กูเกิล แอดเวิร์ด เข้ามาช่วยเสริมให้เว็บไซต์ร้านเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
น.ส.กาญดา พิทักษ์โชคชัย เจ้าของธุรกิจร้านขายหญ้าเทียมออนไลน์กราส ไอเดีย (Grass Idea)  บอกว่า เห็นแนวโน้มคนไทยใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นการปรับแนวคิดดึงโซเชียล มีเดีย ช่วยเพิ่มลูกค้ากว่า 90% ภายใน 2-3 วัน ประกอบกับลูกค้ายังกระจายตามต่างจังหวัดมากกว่าที่ต้องมากระจุก ตัวเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ
น.ส.สุนทรา สัจจะวัชรพงศ์  เจ้าของศูนย์ฝึกสุนัขโจโจ้เฮ้าส์ ด๊อก มาสเตอร์  กล่าวว่า  เมื่อก่อนได้โฆษณาผ่านนิตยสารสัตว์เลี้ยง แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าที่ควร จึงมองเห็นความสำคัญของการใช้งานอินเทอร์เน็ต เพราะอยากรู้อะไรก็ค้นหาผ่านกูเกิล แล้วจึงหันมาโฆษณากับกูเกิล เพราะมีฐานลูกค้ามาก ลูกค้าเข้าถึงง่าย ทำให้ลูกค้าในปัจจุบันกระจายไปทั่วประเทศ ได้ลูกค้าจากประเทศลาว
และสุดท้าย น.ส.ภชร ภู่ประเสริฐ สถาบันสอนภาษาผ่านทางโทรศัพท์ Advance Language Center (ALC) ที่เป็นสินค้าบริการ ไม่สามารถจับต้องได้ แต่การเปลี่ยน แปลงแนวคิดลงโฆษณาสถาบันผ่านสื่อสิ่งพิมพ์นั้น มีค่าใช้จ่ายสูง ผลตอบรับที่ได้ไม่คุ้มค่า และเมื่อกระแสอินเทอร์เน็ตเข้ามาทำให้พฤติกรรมคนไทยเริ่มเปลี่ยนไป ลดบทบาทสิ่งพิมพ์มาใช้อินเทอร์เน็ตแทน จึงใช้บริการกูเกิล แอดเวิร์ด ที่ช่วยให้สถาบันเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ต้นทุนลดลงชัดเจน
ด้าน น.ส.พรทิพย์ กองชุน หัวหน้าฝ่ายการตลาด กูเกิลประเทศไทย ระบุว่า วูแมน ออนเดอะเว็บ เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ของผู้หญิงยุคใหม่ที่ทำงานบนเว็บไซต์ สร้างตัวตนหน้าร้านค้า ซึ่งกูเกิลอยากให้เห็นว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่ ผู้หญิงก็ใช้งานมากและง่ายที่สุด
กลุ่มที่ใช้งานกูเกิล แอดเวิร์ด ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทั้งร้านอาหาร ร้านขายของ ร้านขายเสื้อผ้า และแนวโน้มการใช้งานบนสมาร์ทโฟนมากขึ้น.

อ้างอิง : http://www.dailynews.co.th




ไอซีทีหารือกสทช.แก้กฎหมายคลื่นความถี่



วันนี้(29ส.ค.)ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) หารือร่วมกับพล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธานกสทช.และคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.) ในการเจรจาเพื่อแก้กฎหมาย 3 ฉบับที่เกี่ยวข้องได้แก่ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมพ.ศ.2553(พ.ร.บ.กสทช.)  ,พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคมพ.ศ.2544 และพ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศนพ.ศ.2551   เพื่อไม่ให้กระทบต่อการบริหารจัดสรรคลื่นความถี่ และสอดรับกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว หลังจากนี้จะตั้งคณะกรรมการร่วมโดยกระทรวงไอซีทีเป็นผู้เสนอให้ครม.พิจารณา เพื่อให้มีการปรับปรุงคลื่นความถี่ที่หมดสัญญาสัมปทานก็ต้องคืนคลื่นมายังกสทช.นำไปจัดสรรใหม่ ส่วนคลื่นที่ยังไม่หมดสัญญาสัมปทานก็ร่วมมือปรับปรุงคลื่นความถี่ไม่ให้กระทบต่อกฎหมาย และ เจรจาขอคลื่น 1800 เมกะเฮิร์ตซของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค  ที่ยังไม่ได้ใช้งานให้กับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) นำไปพัฒนาหารายได้ให้กับองค์กรต่อไป


นอกจากนี้ยังรับหลักการร่างมาตราการเยียวยาผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทาน หรือป้องกันซิมดับ โดยมอบหมายให้ บริษัท ทรูมูฟ และ บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด  (ดีพีซี)  ดูแลบริหารลูกค้ากว่า 17 ล้านราย หลังสิ้นสุดสัมปทาน 1800 เมกะเฮิร์ตซเดือน ก.ย. 2556  แต่ขอนำไปพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง


อ้างอิง : http://www.dailynews.co.th



เลอโนโวทำได้แท็บเล็ตไม่เกินสี่พันบาท


เปิดตัวพร้อมกัน 3 รุ่น สำหรับผู้ใช้แท็บเล็ตมือถือใหม่ ราคาเริ่มต้นที่ 3,900 บาท เป็นได้ทั้งโทรศัพท์และแท็บเล็ต ผู้บริหารเลอโนโวโอ่ ใช้แล้วจะรู้สึกว่าแตกต่าง และมีทางเลือกในการใช้งานมากขึ้น

นายจีรวุฒิ วงศ์พิมลพร กรรมการผู้จัดการเลอโนโว ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่า  แท็บเล็ตของเลอโนโว จะลดข้อจำกัดการใช้งานแท็บเล็ตทั้งหมด จุดเด่นของเลอโนโวได้เน้นไปที่การออกแบบขนาดหน้าจอ น้ำหนักเครื่องต้องเบา รองรับได้สองซิม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการติดต่อสื่อสาร เพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้งาน เวลาเลือกบริการดาต้าหรืออินเทอร์ เน็ตจากค่ายมือถือ รวมถึงพอร์ตการเชื่อมต่อที่มีให้ทั้งพอร์ตยูเอสบี ไมโครเอสดีการ์ด ช่องหูฟังมาตรฐาน

นายจีรวุฒิ กล่าวว่า ตลาดแท็บเล็ตในไทยยังเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ข้อมูลของไอดีซี ระบุว่า จำนวนแท็บเล็ตในไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นถึง 94% หรือประมาณ 5.3 ล้านเครื่องภายในปีนี้

ล่าสุด เลอโนโว เปิดตัวแท็บเล็ตใหม่ ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ พร้อมกัน 3 รุ่น คือ   เอส 6000 โฮม เป็นแท็บเล็ตจอใหญ่ 10.1 นิ้ว  หน่วยประมวลผล 1.2 กิกะเฮิรตซ์ ควอดคอร์ สำหรับใช้งานเพื่อความบันเทิง มัลติมีเดีย เกม  รองรับพอร์ตเอชดีเอ็มไอ  ราคาประมาณหมื่นบาท จะวางจำหน่ายปลายปี รุ่นเอ 3000 จอ 7 นิ้ว  หน่วยประมวลผล 1.2 กิกะเฮิรตซ์ ควอดคอร์ น้ำหนัก 345 กรัม ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมรองรับ 3 จี ราคา 6,900 บาท

รุ่น เอ 1000 เป็นแท็บเล็ตสำหรับผู้ใช้งานแท็บเล็ตครั้งแรก ระบบเสียงดอลบี้ดิจิทัล พลัส จอ 7 นิ้ว หน่วยประมวลผล 1.2 กิกะเฮิรตซ์  ดูอัลคอร์ เชื่อมต่อผ่านไวไฟและบลูทูธ ราคา 3,900 บาท มีวางจำหน่ายในไทยแล้ว.

อ้างอิง : http://www.dailynews.co.th




วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เรื่องราวข่าวสารเกี่ยวกับ IT

Zero Day เกี่ยวอะไรกับ Windows XP
หลังจากที่ไมโครซอฟต์ออกมาประกาศอย่างหนักแน่นว่า Windows XP จะไม่ได้รับการสนับสนุน อัพเกรด หรือปรับปรุงระบบอีกต่อไปตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน ปี 2014 จึงขอให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่ยังเป็นโอเอสรุ่นดังกล่าวอยู่เปลี่ยนไปใช้ Windows 7 หรือ Windows 8 หากยังไม่มีการปรับเปลี่ยนผู้ใช้อาจต้องพบกับ "Zero Day" ตลอดไป


          สำหรับ Zero Day คือคำเปรียบเปรยที่บอกเล่าถึงซอฟต์แวร์ทั่วๆไปที่มักจะมีช่องโหว่ที่ช่วยให้บรรดาแฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดีลักลอบเจาะเข้าระบบหรือปล่อยไวรัสมาที่คอมพิวเตอร์เพื่อเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อนักพัฒนาค้นพบช่องโหว่ที่เกิดขึ้นกับซอฟต์แวร์ก็จะทำการออกแพตช์มากลบช่องโหว่ดังกล่าวและส่งต่อไปยังผู้ใช้ให้ดาวน์โหลดและติดตั้ง แต่ขณะนี้บรรดาแฮกเกอร์ก็มีความพยายามที่จะงัดแงะแพตช์ต่างๆที่นักพัฒนาคิดค้นขึ้นเพื่อเป็นช่องทางในการโจมตีและล้วงข้อมูลส่วนตัวจากผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในอีกทางหนึ่ง

          ฉะนั้นการที่ไมโครซอฟต์ยุติการสนับสนุน อัพเกรด หรือปรับปรุงระบบของ Windows XP ในวันที่ 8 เมษายน ปี 2014 ก็จะทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่ยังใช้ Windows XP อยู่ได้รับผลกระทบจากรณีที่้้เรียกว่า "Zero Day" ตลอดไป ดังนั้นไมโครซอฟต์จึงพยายามที่จะชักชวนไปผู้ใช้คอมพิวเตอร์เปลี่ยนมาใช้ Windows 7 หรือ Windows 8 เพราะทั้งสองโอเอสมีการอุดช่องโหว่ตลอดจนพัฒนาและปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับการใช้คอมพิวเตอร์

อ้างอิง : http://www.arip.co.th

เปรียบเทียบ iPhone 5S และ 5C ทั้งห้าสี
 เว็บ ASCII.jp ได้โพสต์ภาพที่พวกเขาอ้างว่าเป็นฝาหลังของ iPhone 5S สีทองแชมเปญ​ วางไว้ข้าง ๆ iPhone 5 สีดำและสีขาว โดยจะสังเกตได้ว่าสีทองแชมเปญที่ว่านี้ เหมือนจะเป็นสีบรอนซ์ทองเสียมากกว่า (กดดูรูปในข่าว) และตัวหนังสือคำว่า iPhone ด้านหลังของตัวเครื่องบางลงกว่าเดิม

ในขณะเดียวกัน เว็บ BestTechInfo ก็ได้โพสต์รูปภาพและวีดีโอของฝาหลัง iPhone 5C ทุกสี ได้แก่สีขาว ฟ้า เหลือง แดง และเขียว รายงานนี้ยังบอกอีกว่าภาพหลุดฝาหลัง iPhone 5C สีดำที่ออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ภาพจริง เพราะแอปเปิลจะเลือกขายแค่ห้าสีนี้เท่านั้น






อ้างอิง : http://www.itday.in.th/




วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เรื่องราวข่าวสารเกี่ยวกับ IT

ไทยพาณิชย์ ชูแนวคิด Future Banking เตรียมพร้อมสู่ผู้นำธนาคารแห่งอนาคต เปิดตัว “SCB UP2ME” การเงินสไตล์ใหม่จับกลุ่ม Young Gen

               ธนาคารไทยพาณิชย์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำกลุ่มลูกค้าบุคคล เดินหน้าสร้างเทรนด์ใหม่ “จ่ายตังค์ ไม่ต้องควักตังค์” ชูแนวคิด “Future Banking” มุ่งสู่การเป็นผู้นำการเงินแห่งอนาคต พัฒนารูปแบบการให้บริการทางการเงินด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัว “SCB UP2ME” การเงินสไตล์ใหม่ที่จะพลิกโฉมรูปแบบทางการเงิน ผ่านรูปแบบการให้บริการที่มาพร้อมกับโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของกลุ่ม Young Gen ให้สามารถกำหนดรูปแบบการใช้จ่ายและการออมได้ด้วยตนเอง ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนเริ่มทำงานให้เพิ่มขึ้น 20%


 นายญนน์ โภคทรัพย์ รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มลูกค้าบุคคล ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ทุกวันนี้เทคโนโลยีเป็นปัจจัยผลักดันให้โลกมีการเปลี่ยนแปลง และมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หลายธุรกิจมีการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิตอลกันมากขึ้นรวมถึงภาคการเงินธนาคารด้วยเช่นกัน  ไทยพาณิชย์มองเห็นโอกาสที่จะผสานเทคโนโลยีเข้าสู่ภาคการเงิน และทำให้การเงินกลายเป็นเรื่องสนุกสำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ (Young Gen) ที่ชีวิตผูกติดอยู่กับเทคโนโลยี เราได้นำเอาแนวคิด “Future Banking” หรือการเป็นธนาคารแห่งอนาคต มาเป็นแกนหลักในการทำตลาดลูกค้าบุคคล และนำไปสู่การแตกยอดเพื่อคิดค้นและพัฒนาแพลตฟอร์มทางการเงินรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “SCB UP2ME” การเงินสไตล์ใหม่ที่นอกจากตอบสนองความต้องการด้านการเงินแล้ว จะช่วยเปลี่ยนมุมมองพร้อมสร้างเทรนด์ใหม่ด้านการเงินในกลุ่มคนยุคใหม่อีกด้วย”

              “SCB UP2ME ชีวิตเรา... แล้วแต่เรา” การเงินสไตล์ใหม่ที่มาพร้อมกับ 3 โซลูชั่นทางการเงิน ได้แก่ SCB Easy Pay ฟังก์ชั่นใน UP2ME โมบายแอพพลิเคชั่นที่จะมาช่วยสร้างเทรนด์ใหม่ หมดกังวลเรื่องเงินสดไม่พอจ่าย ไม่ต้องพกบัตร “จ่ายตังค์ ไม่ต้องควักตังค์” สะดวกปลอดภัย แค่ใช้ QR Code UP2ME Card รวม 3 บริการไว้ในบัตรเดียว ได้แก่ บัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม และบัตรกดเงินสด พร้อมรับคะแนน 3 เท่า และรับคะแนน 5 เท่าเมื่อใช้จ่ายในเดือนเกิด ในหนึ่งหมวดไลฟ์สไตล์ที่เลือกเอง และสามารถเลือกหน้าบัตรที่ถูกใจซึ่งมีให้เลือกถึง 3 แบบด้วยกัน บัญชี UP2ME My Goal My Savings บัญชีเงินฝากระยะยาวแบบพิเศษ ให้คนรุ่นใหม่วางแผนทางการเงินสู่เป้าหมายได้ตามต้องการ ในรูปของการออมระยะยาว เมื่อครบกำหนด 18 เดือน รับสิทธิพิเศษขอสินเชื่อรถยนต์ ครบ 36 เดือนรับสิทธิพิเศษสำหรับขอสินเชื่อบ้าน เติมเต็มความฝันในการมีรถมีบ้านได้อย่างมีแบบแผน พร้อมรายงานความคืบหน้าในการฝากเงินตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ www.SCBUP2ME.com


  “SCB UP2ME นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยให้ไทยพาณิชย์ไปถึงเป้าหมายในการเป็น Future Banking หรือผู้นำธนาคารแห่งอนาคต เรามั่นใจว่าการเงินสไตล์ใหม่ SCB UP2ME จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในกลุ่ม Mass โดยเฉพาะกลุ่ม Young Gen ที่เป็นคนรุ่นใหม่และเพิ่งเริ่มทำงาน โดยคาดว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้าในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเป็น 20% ของฐานลูกค้าปัจจุบัน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5 ล้านคน” นายญนน์ กล่าวสรุป

อ้างอิง : http://www.scb.co.th


ลุยตั้ง “ICT Free Wi-Fi” เพิ่ม 1.5 แสนจุดปี 2557



“อนุดิษฐ์” เดินหน้าติดตั้ง ICT Free Wi-Fi เพิ่มอีก 1.5 แสนจุดในปี 2557 คาดประชาชนกว่า 7.5 ล้านคนจะเข้าถึง ICT Free Wi-Fi by TOT ที่ปัจจุบันมีอยู่ 30,000 แห่งทั่วประเทศ
       
       น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า ภายหลังจากได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนวิจัย และพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือกองทุน กทปส. จำนวน 950 ล้านบาท เพื่อดำเนินการโครงการ ICT Free Wi-Fi ขยายจุดติดตั้งให้บริการ 30,000 แห่งทั่วประเทศ
       
       โดยติดตั้ง Access point 150,000 จุดภายในปี 2557 ซึ่งจะทำให้ประชาชนในประเทศกว่า 7.5 ล้านคนสามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านโครงการ ICT Free Wi-Fi by TOT ที่จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในไตรมาส 4 ปี 2556 นี้ ซึ่งไอซีทีได้มอบหมายให้บริษัท ทีโอที จำกัด เป็นผู้ติดตั้งในโครงการแต่เพียงผู้เดียวในระยะเวลาสัญญา 3 ปี ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2559
       
       ปัจจุบันโครงการ ICT Free Wi-Fi มีการติดตั้ง Access point จำนวน 120,000 จุดซึ่งจะสามารถให้บริการได้ 30,000 แห่งทั่วประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกลุ่มบริษัทเครือข่ายผู้ให้บริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมทั้ง 6 ค่าย ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB ซึ่งมีระยะเวลาในโครงการถึงปี 2558 โดยความร่วมมือดังกล่าวของเอกชน และ กสท จะช่วยให้สามารถรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตราว 8 ล้านคน ส่วนของทีโอทีปัจจุบันสามารถรองรับการใช้งานได้ 1.6 ล้านคน
       
       สำหรับการติดตั้ง Access point 150,000 จุดที่ดำเนินการโดยทีโอทีนั้นแบ่งเป็นพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครประมาณ 16,220 จุด (11%) และเขตต่างจังหวัดประมาณ 133,780 จุด (89%) ตั้งเป้าติดตั้งให้บริการฟรีในมหาวิทยาลัยของรัฐ 78 แห่ง ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการ อบต. 6,720 แห่ง ศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน 1,100 แห่ง โรงพยาบาลของรัฐ 864 แห่ง สถานีตำรวจบางแห่ง 1,738 แห่ง ที่ทำการไปรษณีย์ 4,500 แห่ง สถานที่สำคัญ (Point of Interest) 15,000 แห่ง เช่น สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ และสถานที่ราชการอื่นๆ, สถานีขนส่ง, รถไฟ, บนรถไฟฟ้า, บนรถเมล์ ท่าอากาศยาน และสถานีบริการน้ำมัน เป็นต้น
       
       สำหรับโครงการ ICT Free Wi-Fi ถือเป็นโครงการเพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ตามกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระยะ พ.ศ. 2554-2563 (ICT 2020) ในการส่งเสริมการเข้าถึงการใช้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสาธารณะที่มีการใช้งานตามความเหมาะสมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และเพื่อสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ในการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการประกอบอาชีพ
       
       นายยงยุทธ วัฒนสินธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน ทีโอทีได้ติดตั้งให้บริการตามโครงการ ICT Free Wi-fi by TOT ไปแล้วกว่า 10,000 จุด และคาดว่าจะติดตั้งได้ครบ 150,000 จุดในปี 2557 แต่จะสามารถเริ่มเปิดให้บริการ ICT Free Wi-fi ได้ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 นี้ โดยล่าสุดได้จัดอบรมระบบบริหารจัดการโครงการ ICT Free Wi-fi ให้แก่พนักงานทีโอทีทั่วประเทศเพื่อเตรียมความพร้อมของพนักงานในด้านการบริหารจัดการโครงการฯ และให้สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมาย
       
       ทั้งในด้านของการสำรวจจุดติดตั้ง การประสานงานขอใช้สถานที่ติดตั้ง รวมถึงการรับผิดชอบดูแลอุปกรณ์ Wi-Fi ระบบบริหารจัดการ Call Center และ Internet Bandwidth ตลอดจนการบำรุงรักษาและดูแลอุปกรณ์โครงข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเอง ประกอบด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point (AP) ทั่วประเทศจำนวน 150,000 จุด ติดตั้งระบบควบคุมและบริหารจัดการ (AP Management System) การเข้าใช้งานบริการ Free Wi-Fi ติดตั้งระบบอุปกรณ์ตรวจสอบ แก้ไขปัญหา และพัฒนาคุณภาพการให้บริการ Free Wi-Fi เป็นต้น
       
       อย่างไรก็ดี การให้บริการโครงการ ICT Free Wi-Fi by TOT กำหนดความเร็วในการใช้งาน 2 Mbps ต่อ Access Point และใช้งานพร้อมกันไม่เกิน 15 คน ระยะเวลาการใช้งานครั้งละ 20 นาที รวม 2 ชั่วโมงต่อวัน อายุการใช้งาน 6 เดือนหลังจากการใช้งานครั้งแรก โดยผู้ใช้งานสามารถกำหนด Password ได้เอง เพียงใช้เลขที่บัตรประชาชน และสำหรับชาวต่างประเทศใช้เลขที่หนังสือเดินทางในการเปิดใช้งานดังกล่าว และยังมีบริการ Call Center เพื่อให้คำแนะนำช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาการใช้งานด้วย

อ้างอิง : http://www.manager.co.th

       

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Cloud Computing

cloud computing

           หากแปลแบบตรงตัว อาจจะเรียกว่า การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (อังกฤษ: cloud computing) เป็นลักษณะของการทำงานของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ให้บริการใดบริการหนึ่งกับผู้ใช้ โดยผู้ให้บริการจะแบ่งปันทรัพยากรให้กับผู้ต้องการใช้งานนั้น การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ เป็นลักษณะที่พัฒนาขึ้นต่อมาจากความคิดและบริการของเวอร์ชัวไลเซชันและเว็บเซอร์วิส โดยผู้ใช้งานนั้นไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในเชิงเทคนิคสำหรับตัวพื้นฐานการทำงานนั้น
           สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาให้คำจำกัดความ "cloud" ว่า มันเป็นอุปลักษณ์ จากคำในภาษาอังกฤษที่แปลว่า เมฆ[2] กล่าวถึงอินเทอร์เน็ตโดยรวม[3] ในรูปของโครงสร้างพื้นฐาน (เหมือนระบบไฟฟ้า ประปา) ที่พร้อมให้บริการกับผู้ใช้งานเมื่อมีความต้องการใช้[4] ผู้ให้บริการการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆส่วนใหญ่ จะให้บริการในลักษณะของเว็บแอปพลิเคชันโดยให้ผู้ใช้ทำงานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ขณะเดียวกันซอฟต์แวร์และข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการ การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆนั้น ถูกอธิบายถึงโมเดลรูปแบบใหม่ของเทคโนโลยีสารสนเทศในการใช้งานบนอินเทอร์เน็ตที่เน้นการขยายตัวได้อย่างยืดหยุ่น สามารถที่จะปรับขนาดได้ตามความต้องการของผู้ใช้ และมีการจัดสรรทรัพยากร[5][6] โดยเน้นการทำงานระยะไกลอย่างง่าย ที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นโครงสร้างพื้นฐาน[7] ตัวอย่างของการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆที่เป็นที่รู้จัก เช่น ยูทูบ โดยที่ผู้ใช้สามารถเก็บวิดีโอออนไลน์ได้ โดยไม่ต้องมีความรู้ในการสร้างระบบวิดีโอออนไลน์ หรือ ในระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น



การบริการบนระบบ
การบริการบนระบบการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆสามารถ แบ่งรูปแบบของชั้น ดังนี้
  • การให้บริการซอฟต์แวร์ หรือ Software as a Service (SaaS) จะให้บริการการประมวลผลแอปพลิเคชันที่แม่ข่ายของผู้ให้บริการ และเปิดให้การบริการทางด้านซอฟแวร์ต่างๆ
  • การให้บริการแพลทฟอร์ม หรือ Platform as a Service (PaaS) เป็นการประมวลผล ซึ่งมีระบบปฏิบัติการ และการสนับสนุนเว็บแอปพลิเคชันเข้ามาร่วมด้วย
  • การให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน หรือ Infrastructure as a Service (IaaS) เป็นการให้บริการเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน มีประโยชน์ในการประมวลผลทรัพยากรจำนวนมาก
  • บริการระบบจัดเก็บข้อมูล หรือ data Storage as a Service (dSaaS) ระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ไม่จำกัด รองรับการสืบค้นและการจัดการข้อมูลขั้นสูง
  • บริการร่วมรวมลำดับความเชื่อมโยง หรือ Composite Service (CaaS) คือส่วนทำหน้าที่รวมโปรแกรมประยุกต์ หรือจัดลำดับการเชื่อมโยงแบบ workflow ข้ามเครือข่าย รวมถึงการจัดการด้านความปลอดภัย

ส่วนประกอบของ cloud computing
          เนื่องจาก cloud computing จะต้องรองรับผู้ให้บริการจำนวนมาก และผู้ใช้บริการก็มีความคาดหวังไว้ว่า บริการหรือ applications ที่ได้นั้นจะต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็ว,ปลอดภัย และ พร้อมที่จะใช้งานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใดก็ตาม ดังนั้น ผู้ให้บริการ cloud computing จะต้องมีการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐาน(Infrastructure) ของระบบที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
  1. Transparency -ใน clound computing จะต้องมีการใช้ Transparent load-balancing คือ ความพยายามที่จะทำให้เกิด balance ในการทำงานเมื่อมีการเรียกใช้ application จากผู้ใช้หลายๆคนพร้อมกัน โดยจะกระจาย load หรืองานไปให้เครื่องหรือ server อื่นๆเพื่อช่วยในการทำงาน อย่างเช่น ปกติการให้บริการจะ run อยู่บน server ตัวเดียว แต่เมื่อไหร่ก็ตามมีผู้ใช้งานจำนวนมากและจำเป็นต้องใช้ server เพิ่มขึ้น transparency จะอนุญาตให้มีการประสานงานกับ server อื่นๆได้โดยที่ไม่ต้องขัดจังหวะการทำงานหรือต้องติดตั้งระบบกันใหม่ อย่างนี้เป็นต้นส่วน application deliveryหรือการให้บริการระบบงาน จะช่วยตอบสนองความต้องการให้ application และข้อมูลทุกรูปแบบได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนและเวลาใดก็ตาม
  2. Scalability คือ สามารถปรับขนาดระบบได้ตามภาระงาน
  3. Intelligent Monitoring มีระบบที่สามารถตรวจสอบได้ว่า application หรือ service มีปัญหาอะไร ตรงไหนบ้าง
  4. Security เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ใน cloud ซึ่งก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกันที่ข้อมูลสำคัญๆอาจจะถูกขโมยหรือเกิดความเสียหายจากการโจมตีระบบได้ ดังนั้นสถาปัตยกรรมของ cloud computing จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับต้นๆ

รูปแบบของ cloud แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
  1. Public clouds มี server จำนวนมากและตั้งอยู่หลายๆที่ ซึ่งผู้ใช้จะใช้บริการผ่าน web application หรือ web service
  2. Private cloud ผู้ใช้บริการเป็นผู้บริหารจัดการระบบเอง โดยจะมีการจำลอง cloud computing ขึ้นมาใช้งานใน network ส่วนตัว รูปแบบนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายเพราะมีการแชร์ทรัพยากรร่วมกัน และ มีความสะดวกเนื่องจากผู้ให้บริการจะมีหน้าที่ติดตั้งระบบและดูแลรักษาให้
  3. Hybrid cloud ประกอบขึ้นด้วยผู้ให้บริการแบบ public และ private ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางระบบ enterprise

วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เรื่องราวข่าวสารเกี่ยวกับ IT

iDeveloper Training Course รุ่นที่ 5

หลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเรียนรู้การพัฒนาแอพพลิเคชันบน iPhone/iPad จากแนวคิดเบื้องต้นสู่การสร้างสรรค์แอพพลิเคชันที่สามารถใช้งานได้จริง หลักสูตรเน้นปูพื้นฐานความเข้าใจในหลักการและเฟรมเวิร์คสำหรับการพัฒนาแอพพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการ iOS ควบคู่การฝึกปฏิบัติโดยมีทีมอาจารย์ผู้สอนให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด

เนื้อหา :
การเขียนโปรแกรมภาษา Objective-C
การใช้งานโปรแกรม Xcode สำหรับการสร้างแอพพลิเคชัน
เฟรมเวิร์ค Cocoa Touch และ GUI Controls ที่สำคัญ
Design Patterns (Target-Action, MVC, Delegation)
การพัฒนาแอพพลิเคชันแบบ Single View และ Multiple View
ระบบฐานข้อมูลบน iOS (Core Data)
การอ่าน Web Feed และใช้งาน Web Services
การใช้งาน Social Networking API
การใช้งาน MapKit


วัน-เวลา : จัดอบรมในวันเสาร์-อาทิตย์ รวม 6 วัน ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม - 15 กันยายน 2556 เวลา 9:30 - 16.30 (ตารางอบรม)

ผู้เข้าอบรม : บุคคลทั่วไปผู้มีความรู้พื้นฐานในการพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ด้วยภาษา คอมพิวเตอร์ ได้แก่ C, C++, C#, Java, Python, Perl, PHP, JavaScript ฯลฯ อย่างน้อย 1 ภาษา จำนวน 30 คน

อุปกรณ์ประกอบการอบรม (ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) :
มีเครื่องคอมพิวเตอร์ iMac ให้ใช้ฝึกปฏิบัติระหว่างการอบรม 1 เครื่องต่อ 1 ท่าน
เครื่อง iPad และ iPod Touch สำหรับทดสอบแอพพลิเคชัน
(ผู้เรียนสามารถใช้อุปกรณ์ iOS ของตนเองในการทดสอบได้ โดยผู้จัดจะเตรียม iOS Educational Developer Account ให้ใช้ระหว่างการอบรม)


อัตราค่าอบรม :
บุคคลทั่วไป : 9,000 บาท/ท่าน (net)
นักเรียน-นักศึกษา : 6,000 บาท/ท่าน (net)


การสมัคร :
สมัครออนไลน์ได้ที่ http://www.ideveloperworld.com


สถานที่อบรม :
ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ วิทยาลัยนานาชาติ
ชั้น 8 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 55 พรรษา
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ถนนฉลองกรุง ลาดกระบัง กรุงเทพฯ


ดูรายละเอียดของหลักสูตรและการสมัครได้ที่ http://www.ideveloperworld.com
หรือสอบถามที่อีเมล์ ic at kmitl.ac.th หรือโทร. 081-751-4994, 02-329-8261, 02-329-8262

ติดต่อข่าวสารของหลักสูตรได้ทาง iDevelopers Facebook Page : https://www.facebook.com/idevelopers.kmitl

อ้างอิงจากhttp://www.overclockzone.com/


การเมืองไม่กระทบอุตไอที อยากเห็นจบเร็ว


ผู้ประกอบการธุรกิจไอทีประสานเสียง "การเมือง" ไม่สะเทือนตลาด 
รับเป็นเหตุการณ์ปกติของทุกปีตลาดรับมือได้ แต่ย้ำต้องไม่ยืดเยื้อ


นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้บริษัทเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจไอทีไม่มากเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ แต่หากยังยืดเยื้อ และรุนแรงก็อาจจะมีผลโดยธรรมชาติ เพราะกระทบบรรยากาศการซื้อขาย

ทั้งนี้บริษัทยังประเมินจากการเปลี่ยนแปลงกว่า 20 ปีในอุตสาหกรรมไอทีที่เกิดเหตุการณ์และวิกฤติมาทุกรูปแบบ แต่ตลาดก็ยังเติบโตมาได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการปรับตัวของผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องดึงจุดแข็ง และปรับปรุงจุดอ่อนให้ได้

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ เช่น ค่าเงินบาทที่ไม่มีเสถียรภาพและปัญหาเศรษฐกิจโลกทั้งสหรัฐและยุโรป กลับมีผลต่อธุรกิจไอทีมากกว่าการเมือง เพราะทำให้วางแผนธุรกิจได้ยาก โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่แข็งค่า หรืออ่อนค่าเร็วเกินไปทำให้เกิดความเสี่ยงต่อธุรกิจสูง

ปรับเป้าลดรับมือ

"คนไทยเริ่มชินกับการเมือง สังเกตดูเวลามีม็อบครั้งแรกๆ เมื่อหลายปีก่อนกับม็อบตอนนี้ความตื่นตัวต่างกัน เกิดบ่อยๆ ทำให้ทุกคนเริ่มมีภูมิต้านทาน แต่ก็ต้องดูด้วยว่าครั้งนี้จะยืดเยื้อหรือรุนแรงแค่ไหนด้วย ซึ่งก็ยังเชื่อว่าจะไม่เอฟเฟ็กต์กับไอทีมาก เว้นกลุ่มท่องเที่ยวที่น่าจะกระทบแน่ๆ แต่ที่ชัดเจนเลยคือ เรื่องเศรษฐกิจเพราะตราบใดที่ไม่มีเสถียรภาพธุรกิจก็ทำงานลำบาก รัฐต้องหาวิธีทำอย่างไรให้ค่าเงินไม่แข็งค่าหรืออ่อนค่าเร็วเกินไป"

พร้อมระบุว่าในช่วงนี้บริษัทก็เริ่มปรับแผนหันไปให้ความสำคัญกับตลาดกลุ่มที่เชื่อว่ายังมีโอกาสเติบโต ทั้งตลาดนอกประเทศ เช่น พม่า ที่ขณะนี้ยังบริษัทซินเน็ค เมียนมมาร์ เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างเจรจากับสินค้าไอทีเพื่อให้บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศดังกล่าว

ส่วนตลาดในไทยก็ยังมีกลุ่มที่เติบโตได้ดี เช่น ตลาดองค์กรและภาครัฐ รวมทั้งการปรับกลยุทธ์การบริหารหาสินค้ารุ่นที่เหมาะกับตลาดไทย และควบคุมค่าใช้จ่ายให้รอบคอบมากขึ้น

โดยปีนี้บริษัทได้ปรับลดเป้าการเติบโตให้เหลือในระดับที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา

มือถือได้อานิสงส์3จี

ขณะที่นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท กล่าวว่า เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นคาดว่าจะส่งผลต่อภาพรวมธุรกิจในประเทศไม่ดี แต่เว้นกลุ่มมือถือที่ถูกขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี 3จี และการผลักดันจากฝั่งของผู้ให้บริการระบบทำให้ธุรกิจค้าปลีกมือถือยังไม่เห็นผลกระทบใดๆ และยังมียอดขายเติบโตดี

เช่นเดียวกับปัจจัยเงินบาทอ่อนค่าที่ก็ยังไม่กระทบกับเจมาร์ท เนื่องจากเป็นการซื้อจากซัพพลายเออร์ภายในประเทศและชำระเป็นเงินบาท ทั้งราคาตัวเครื่องก็มีแนวโน้มลดลงและมีรุ่นใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาดต่อเนื่องทำให้ธุรกิจยังเติบโตได้

แต่ทั้งนี้บริษัทก็ยังจับตาดูความเคลื่อนไหวทางการเมือง และทิศทางของอุตสาหกรรม แต่ก็เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบใดๆ กับการซื้อขายและยังมีแนวโน้มคึกคักมากขึ้นในครึ่งปีหลังทำให้บริษัทยังไม่จำเป็นต้องปรับลดเป้ารายได้ในปีนี้

ผู้จัดงานมองมุมบวกสินค้าใหม่หนุนตลาด

นายโอภาส เฉิดพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด ผู้จัดงานไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป กล่าวว่า หากสถานการณ์การเมืองจบได้เร็วและไม่ยืดเยื้อเกิน 1-2 เดือน ตลาดมือถือในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มคึกคักมาก เนื่องจากมีเทคโนโลยีใหม่และสินค้ารุ่นใหม่ๆ เตรียมเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก โดยเฉพาะเทรนด์ใหม่ของอุปกรณ์ไอทีแบบสวมใส่ได้ (Wearable Device) ซึ่งงานโมบาย เอ็กซ์โปช่วงต้นเดือน ต.ค.นี้มีแบรนด์มือถือหลายรายเตรียมนำสินค้ากลุ่มดังกล่าวเข้ามาทำตลาด

อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ยืดเยื้อ ธุรกิจก็อาจต้องกลับไปใช้แผนสองเหมือนที่เคยทำช่วงที่เกิดวิกฤติต่างๆ คือ ชะลอแผน หรือหากเปิดตัวสินค้าก็ย่อสเกลให้เล็กเพื่อประคองตัวให้ผ่านไปได้ก่อน

"เหตุการณ์แบบนี้เริ่มไม่แปลกแล้ว คือถ้าก่อนวันแม่ยังไม่จบ ก็คงกลับไปใช้แผนสองเหมือนที่เคยทำคือชะลอไว้ และเปิดตัวเล็กๆ แล้วก็ขาย ซึ่งก็เชื่อว่าทุกคนรับมือได้ แต่ถ้าจบเร็วตลาดก็จะเป็นบวก เพราะครึ่งปีหลังจะคนละเรื่องกับครึ่งปีแรกที่ซบเซาแน่นอน เนื่องจากมีเทคโนโลยีใหม่เตรียมเข้าสู่ตลาด"

นายปฐม อินทโรดม กรรมการบริหารและผู้จัดการทั่วไป บมจ.เออาร์ไอพี ผู้จัดงานคอมมาร์ต กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า หากสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อจะส่งผลดีต่อตลาด เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ฝากความหวังไว้กับตลาดครึ่งปีหลัง ขณะที่ตลาดไอที คอนซูเมอร์ก็ผูกติดกับความเชื่อมั่นในภาพรวมมากกว่ากลุ่มเอ็นเตอร์ไพรซ์ แต่ก็ยังไม่เห็นสัญญาณการชะลอตัวใดๆ เช่นเดียวกับงานคอมมาร์ตที่ขณะนี้ยังไม่ปรับแผน

อ้างอิงจาก : http://www.bangkokbiznews.com/


คนไทยยุค3Gขี้เบื่อขยะอิเล็กทรอนิกส์โตพรวด


ขยะอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นทุกปี "มือถือ" นำโด่งแซงหน้า "คอมพิวเตอร์พีซี" ค่ายมือถือโหมกระแสดึงลูกค้า-คนไทยยุค 3G ขี้เบื่อ ใช้งานแค่ 6 เดือนเปลี่ยนเครื่องใหม่ ขณะที่ธุรกิจใช้วิธีเช่าซื้อคอมพิวเตอร์เปิดช่องธุรกิจขายเครื่องมือสองโต ติดลม "ดีลเลอร์" เหมาซื้อยกลอตขายต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ฟาก "กรมควบคุมมลพิษ" เผยตัวเลขคาดการณ์ซาก "มือถือ-คอมพิวเตอร์"

นายสมชัย สิทธิชัยศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) ผู้ค้าส่งสินค้าไอที และโทรศัพท์มือถือ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ประเทศไทยมีขยะที่เกิดจากคอมพิวเตอร์ที่เสียหรือหมดอายุใช้งานทุกปี ปัจจุบันยังไม่มีการจัดการ แต่เมื่อถึงเวลาที่ขยะอิเล็กทรอนิกส์มีมากถึงระดับคุ้มทุนในการประกอบธุรกิจ รีไซเคิลจะมีผู้ประกอบการคัดแยกแร่นำไฟฟ้าออกจากขยะอิเล็กทรอนิกส์เช่นเดียว กับในยุโรปและอเมริกายอดขายคอมพิวเตอร์ใหม่ในปีนี้ 3.5 ล้านเครื่อง ใช้ในภาคธุรกิจ 40% หรือ 1.5 ล้านเครื่อง องค์กรส่วนใหญ่มีระยะเวลาใช้งานชัดเจน และนิยมเช่าใช้ จึงมีเครื่องเก่าเข้ามาในตลาดมือสองประมาณ 30% หรือ 500,000 เครื่อง ปัจจุบันมีดีลเลอร์รายใหญ่ 5-10 ราย รับซื้อเครื่องเก่าเพื่อนำไปจำหน่ายต่อทั้งใน และต่างประเทศ กรณีส่งออกจะส่งไปพม่า และอินเดีย ส่วนในประเทศเน้นองค์กรระดับเอสเอ็มอีและนักศึกษา ในราคา 1,000-2,000 บาทเท่านั้น

"เรากำลังจะมีโครงการร่วมกับดีแทคทำที่ทิ้งขยะ อิเล็กทรอนิกส์ เช่น แบตเตอรี่ หรือเมาส์ โดยดีแทคจ้างบริษัทต่างประเทศมาเก็บไปแยกส่วนที่นำมาใช้ต่ออีกที" 

นาย บุญชัย เงาวิศิษฎ์กุล อดีตผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์โมบิลิตี้ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า คนไทยเฉลี่ยการเปลี่ยนคอมพิวเตอร์อยู่ที่ 5 ปี ขณะที่เครื่องเก่าถูกนำไปจำหน่ายให้ธุรกิจรับซื้อเครื่องมือสองมากกว่านำไป ทิ้ง

"เอเซอร์พยายามแก้ปัญหาจากต้นทางด้วยการไม่ใช้จอที่ทำจากสารตะกั่ว แต่แก้ไม่ได้ 100% และมีโครงการแลกเครื่องใหม่ปีละ 2-3 ครั้ง"

นาย อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจมาร์ท กล่าวว่า ยอดขายโทรศัพท์มือถือในปีนี้มีกว่า 20 ล้านเครื่อง ขณะที่ผู้บริโภคเปลี่ยนเครื่องเร็วขึ้นจาก 2-3 ปี เหลือ 6 เดือน แต่เครื่องเก่าที่มีไม่ถึงขั้นเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพราะถ้าไม่เก็บเครื่องไว้สำรองก็จะนำไปขายต่อ ปัจจัยที่ทำให้คนเปลี่ยนเครื่อง เพราะต้องการใช้ 3G ซึ่งฟีเจอร์โฟนรุ่นเก่าใช้ไม่ได้

ในปีนี้ยอดขายเป็นสมาร์ทโฟน 60% ฟีเจอร์โฟน 40% ขณะที่มีซิมเปิดใช้กว่า 88 ล้านเลขหมาย แต่มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 75% หมายความว่ามีเครื่องในตลาดมือสองรวมกับที่อยู่ตามบ้านเกือบ 20 ล้านเครื่อง

"จริง ๆ ถ้าเจาะไปที่ตลาดมือถือสองจะพบว่าโตขึ้นเร็วมาก แต่ยังไม่มีใครลงไปสำรวจว่ามากขนาดไหน"

ด้าน นายมงคลฤกษ์ พูลพัฒน์ ผู้จัดการ ร้านเอโอบีโมบาย กล่าวว่า ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องบ่อยขึ้น สังเกตได้จากระยะเวลาที่มีสินค้ารุ่นใหม่วางตลาดกับการนำมาวางจำหน่ายเป็น สินค้ามือสองมีให้เห็นเพิ่มขึ้นในระยะเวลาที่สั้นลง ที่ร้านมีเครื่องมือสองอายุใช้งานไม่เกิน 6-8 เดือน 30% อีก 70% เป็นเครื่องอายุการใช้งานเกิน 1 ปี

"เครื่องมือสองกำไรสูงกว่าขาย เครื่องใหม่ แม้แต่เครื่องที่เสียแล้วเราก็รับซื้อในราคา 500-1,000 บาท เพื่อนำไปขายให้ร้านรับซ่อมมือถือใช้เป็นอะไหล่"

ดร.กิตติณัฐ ทีคะวรรณ ผู้อำนวยการด้านบริหารผลิตภัณฑ์ดีไวซ์ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า บริษัทมีโครงการนำไอโฟนรุ่นเก่ามาใช้เป็นส่วนลดซื้อไอโฟน 5 ตั้งแต่ปลาย มิ.ย.ที่ผ่านมา มีลูกค้าเข้าร่วมกว่า 1,000 ราย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ไม่รู้ว่าจะนำเครื่องเก่าไปทำอะไร และต้องการอัพเกรดโทรศัพท์ไปใช้ 4G

"ทรูนำไอโฟนมือสองไปจำหน่ายให้ดีลเลอร์รายใหญ่ 3-4 เจ้าในราคาต้นทุน ดีลเลอร์จะนำไปจำหน่ายในตลาดมือสองต่อไป"

นาย กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไบรท์สตาร์ ประเทศไทย กล่าวว่า ในต่างประเทศมีโครงการรับซื้อเครื่องคืน และให้ผู้บริโภคนำเครื่องเก่ามาแลกเครื่องใหม่ โดยร่วมกับโอเปอเรเตอร์บางราย เพื่อรักษาฐานลูกค้าแล้วนำเครื่องเหล่านั้นไปขายในประเทศที่ 3 ที่ต้องการมือถือราคาย่อมเยา

จากผลการศึกษาโครงการพัฒนาแนวทางการ ประเมินซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของกรมควบคุมมลพิษมี การคาดการณ์ปริมาณซากโทรศัพท์มือถือที่จะเกิดขึ้นในปี 2556 ที่ 9.14 ล้านเครื่อง และเพิ่มขึ้นเป็น 9.75 ล้านเครื่องในปี 2557 และทะลุ 10 ล้านเครื่อง

ในปี 2558 ขณะที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลปีนี้อยู่ที่ 1.99 ล้านเครื่อง เพิ่มเป็น 2.21 ล้านเครื่องในปี 2557 และ 2.42 ล้านเครื่องในปี 2558

ขณะที่ผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มครัวเรือน เมื่อไม่ใช้มือถือและคอมพิวเตอร์แล้ว กว่า 50% นำไปขาย อีก 30% เก็บไว้ ขณะที่มีผู้บริโภคราว 8-12% นำไปทิ้งรวมกับขยะอื่น

อ้างอิงจาก : http://www.prachachat.net

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เมนบอร์ด Mainboard

Mind Map เมนบอร์ด (Mainboard)
Click here to
Click here to

เมนบอร์ด (Mainboard)
เมนบอร์ดเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญรองมาจากซีพียู เมนบอร์ดทำหน้าที่ควบคุม ดูแลและจัดการๆ ทำงานของ อุปกรณ์ชนิดต่างๆ แทบทั้งหมดในเครื่องคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ซีพียู ไปจนถึงหน่วยความจำแคช หน่วยความจำหลัก ฮาร์ดดิกส์ ระบบบัส บนเมนบอร์ดประกอบด้วยชิ้นส่วนต่างๆ มากมาย  เมนบอร์ดที่ใช้งานในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่เป็นแบบ ATX เกือบทั้งหมดแล้ว  เทคโนโลยีของเมนบอร์ดเองก็ได้มีการพัฒนาไปมากเช่นกัน  ซึ่งมีเทคโนโลยีเข้ามาในการเพิมประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น  มีสีสันที่สวยงามโดยเฉพาะคนที่ชอบแต่งเครื่องของตัวเองจะเลือกสีสันที่มีความสวยงาม


มารู้จักส่วนประกอบของเมนบอร์ด



1.ซ็อกเก็ตซีพียู

ซ็อกเก็ตซีพียู เป็นที่ติดตั้งของตัวซีพียูเองจะมีลักษณะตามรุ่นตามยี่ห้อ หรือตามซีพียูที่เราจะใส่  ดังนั้นเราควรที่จะเลือกให้ตรงกันด้วย


2. พอร์ตที่ใช้ในการเชื่อมต่อ
ทางด้านหลังของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะมีพอร์ตที่ใช้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ  ที่อยู่ภายนอก  ซึ่งแต่ล่ะพอร์ตจะมีรูเสียบเฉพาะของอุปกรณ์ที่ต่อนั้นจะไม่ค่อยต่อผิดกัน มาดูตัวอย่างกันว่าแต่ล่ะพอร์ตนั้นใช้ต่อกับอะไรบ้าง
1 .PS/2 เป็นพอร์ตไว้สำหรับการเชื่อมต่อ เมาส์และคีย์บอร์ด  โดยทั่วไปแล้วเมาส์จะเป็นสีเขียว  และคีย์บอร์ดจะเป็นสีม่วง ซึ่งในปัจจุบันนี้จะมีการเปลี่ยนมาใช้ USB แต่ก็ยังมี PS/2 มีใช้อยู่เป็นจำนวนมาก

2. Firewire เป็นพอร์ตการเชื่อมต่อที่มีลักษณะคล้ายกับ USB ซึ่งมีอัตราความเร็วกว่า  ด้วยมาตรฐาน IEEE 1394a มีอัตราการเชื่อมต่อรับ/ส่งข้อมูล  400MB/s อุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่อเช่น ฮาร์ดดิสก์แบบภายนอก
3.eSATA เป็นการเชื่อมสำหรับ ฮาร์ดดิสก์แบบภายนอก เช่นกัน
4. USB เป็นการเชื่อมต่อภายนอกแบบต่างๆ  แล้วจะมีพอร์ตนี้มากเป็นพิเศษเพราะว่ามีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้หลากหลาย  อย่างเช่นเครื่องพิมพ์ เมาส์ และอื่นๆอีก รวมถึงเฟรตไดร์ด้วย สำหรับความเร็วแล้วอยู่ที่ 480MB/s
5.LAN ช่องการเชื่อมต่อแลน  ใช้สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายที่อยู่ในระบบ
6. ช่องต่อเสียง ไว้สำหรับการเชื่อมต่อเสียง ทั้งเสียง Input และ Output ทั้งลำโพง  ทั้งไมค์

3.สล็อต์ AGP
ใช้สำหรับการเชื่อมต่อของการ์ดแสดงผล  มีทั้ง AGP และ PCI Express  เพื่อเชื่อมต่อให้กับมอนิเตอร์ใช้ในการแสดงผล

4.สล็อต PCI
ใช้สำหรับการเชื่อมต่อการ์ดต่างๆที่ไม่ต้องการความเร็วสูงมากนัก เช่นการ์ดเสียง  การ์ดแลน และโมเด็มใช้สำหรับการเชื่อมต่อ

5.ตัวอ่านแผ่นดิสก์
ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้วแต่ให้สำหรับการเชื่อมต่อ Memory Card ต่างๆ แต่ต้องชื้อตัวมาเพิ่ม

6.ซิปเซต
ถือได้ว่าเป็นมีความสำคัญ  เพราะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานต่างๆบนเมนบอร์ด  โดยจะมีซิปเซตอยู่ 2 ส่วนด้วยกันคือ
-   North  Bridge จะทำหน้าที่คอบควบคุม ซีพียู แรม และการ์ดแสดงผล
-   South  Bridge  จะทำหน้าที่ควบคุมสล็อตต่างๆ

7.หัวต่อ SATA
ซึ่งใช้ในการเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์  แบบ SATA ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อแบบอนุกรม  ซึ่งมีข้อดีทั้งประหยัดพลังงานและประหยัดพื้นที่  อีกทั้งยังทำให้ระบายความร้อนภายในเคสได้ดีอีกด้วย

8.หัวต่อแบบ IDE
ใช้ในการเชื่อมต่อแบบ IDE ทั้งแบบที่เป็นฮาร์ดดิสก์ และ CD/DVD ROM

9.ต่อแหล่งจ่ายไฟ

ที่ใช้สำหรับในการต่อแหล่งกระแสไฟฟ้า  จากพาวเวอร์ซับพราย  โดยจะมีทั้งรุ่นเดิมที่ใช้ 20 Pin และในปัจจุบัน 24 Pin โดยจะมีทั้งหมด อยู่ 2 แถว

10.ซ็อกเก็ตแรม

โดยใช้สำหรับใส่แรม โดยมีทั้งแบบ Dual Channel และ Triple Channel

11.ตัวเชื่อมปุ่มควบคุม
ใช้ในการเชื่อมต่อปุ่ม Power ปุ่ม รีสตาร์    และแสดง ไฟของการทำงานฮาร์ดดิสก์ และไฟขณะทำงาน

12.ตัวต่อ USB
ใช้ในการเชื่อมต่อ USB ภายในเคส  เพื่อเพิ่มในการเชื่อมต่อ USB ที่มากขึ้น

อ้างอิงจาก http://www.comsimple.com/